ตัวอย่างอิสอัคและโมเสส

มีเรื่องของบุคคล 2 คนในพระคัมภีร์ที่สะกิดใจดิฉัน จนอยากจะนำแบ่งปันท่านผู้อ่านวันนี้ค่ะ บุคคลแรกมีชื่อว่า อิสอัค อิสอัคเป็นลูกที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าจะประทานให้แก่อับราฮัม และพระองค์ได้ทรงประทานให้จริงๆ ว่ากันไปแล้ว การเกิดของอิสอัคนับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่วงการแพทย์อธิบายไม่ได้นะคะ เพราะขณะที่นางซาราห์ภรรยาของอับราฮัมตั้งครรภ์นั้น เธอมีอายุ  90 ปี เรียกว่าชราแล้วและประจำเดือนก็หมดไปแล้วด้วย (ปฐมกาล 18:11) ขณะที่มีบุตรนั้น อับราฮัมอายุ 100 ปีค่ะ เมื่ออิสอัคแก่ตัวลง ตาของท่านก็มัว มองไม่เห็น ถ้าเปรียบเทียบกับปัจจุบันแล้ว ท่านผู้ฟังก็คงจะคิดว่า สิ่งนี้เป็นเรื่องปกติของผู้อาวุโส แต่ท่านผู้ฟังทราบไหมคะว่า อาหารที่อิสอัคชอบคืออะไร ให้เรามาอ่านกันจากพระคำ ปฐมกาล 27:1-4 นะคะ พระคัมภีร์กล่าวว่า “เมื่ออิสอัคแก่ตามัว ท่านก็เรียกเอซาวบุตรคนโตของท่านมา และกล่าวแก่เขาว่า  “ลูกเอ๋ย” เขาตอบว่า “ขอรับ” ท่านว่า “ดูเถิด พ่อแก่แล้ว พ่อไม่รู้วันตายของพ่อ เจ้าจงเอาอาวุธของเจ้า คือแล่งธนูและคันธนูออกไปที่ท้องทุ่ง หาเนื้อมาให้พ่อ จัดเตรียมอาหารอร่อยมาให้พ่อ อย่างที่พ่อชอบนั้น แต่นำมาให้พ่อกิน เพื่อจะได้อวยพรแก่เจ้าก่อนพ่อตาย” อิสอัคให้บุตรชายคนโปรดไปล่าเนื้อเพื่อมาทำอาหารที่เขาชอบ อาหารที่อิสอัคชอบรับประทานก็คือเนื้อสัตว์นั่นเอง คราวนี้มาฟังถึงเรื่องราวของบุคคลอีกท่านหนึ่งในพระคัมภีร์นะคะ นั่นก็คือ โมเสส…

ต้อกระจก ตอนที่ 2

โรคต้อกระจก เป็นปัญหาทางสายตาที่มีผลต่อประชาชนมานานแล้วนะคะ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ทำให้มีปัญหาสายตาพร่ามัว การมองเห็นลดลง บางรายอาจจะเกิดโรคต้อหินเฉียบพลันแทรกซ้อนทำให้ตาบอดในที่สุดได้ค่ะ ต้อกระจก คือโรคที่เกิดจากความขุ่นมัวของเลนส์แก้วตาธรรมชาติซึ่งปรกติจะใส สำหรับสาเหตุของโรคต้อกระจกนั้นมีหลายสาเหตุนะคะ ส่วนใหญ่เป็นการเสื่อมตามวัยค่ะ อายุที่มากขึ้นเลนส์แก้วตาก็จะเริ่มหนาและแข็งขึ้นที่จุดกึ่งกลาง ทำให้มีผลต่อความสามารถในการปรับสายตา สาเหตุอื่นๆที่พบได้เช่น โรคแทรกซ้อนทางตาบางชนิด เช่น โรคต้อหิน ผลจากยาบางชนิด เช่น สเตอรอยด์ โรคที่ผิดปกติทางพันธุกรรมหรือทางเมตาบอลิค โรคที่เกิดจากการขาดอาหาร อุบัติเหตุ การอักเสบทั้งจากการติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ การรับรังสีก็ทำให้เกิดต้อกระจกได้ เด็กที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อหัดเยอรมันในระยะตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก เป็นต้น นอกจากนี้ หากเกิดร่วมกับบางโรคอาจทำให้เลนส์ขุ่นขึ้นได้เร็วกว่าปกติ เช่น เบาหวาน เป็นต้นค่ะ อาหารมีส่วนสำคัญนะคะ การรับประทานอาหารที่มีอนุมูลอิสระมาก เช่น ของทอด เนื้อสัตว์ ก็จะเร่งให้เกิดต้อกระจกเร็วขึ้นค่ะ สำหรับการรักษาด้วยยานั้น : บางกรณีก็ใช้ได้ผลคือทำให้เลนส์ที่ขุ่นใสขึ้นได้ หรืออย่างน้อยก็ทำให้การขุ่นที่ค่อยๆมากขึ้นนั้น ขุ่นช้าลงกว่าเดิม แต่ไม่ค่อยได้ผลถ้าเลนส์ขุ่นมากแล้ว มักใช้ในกรณีที่เริ่มเป็นน้อยๆมากกว่า การรักษาที่ได้ผลส่วนใหญ่จึงยังคงเป็นการผ่าตัดค่ะ สิ่งที่ผู้ป่วยต้อกระจกทุกรายคาดหวังเมื่อตัดสินใจเข้ารับการรักษาก็คือ การกลับมามองเห็นได้ดีเหมือนหรือใกล้เคียงปรกติมากที่สุด นอกเหนือจากปัจจัยที่เกี่ยวกับพยาธิสภาพที่ตาแล้ว เทคนิคการผ่าตัด และการเลือกค่าสายตาและชนิดของเลนส์แก้วตาเทียมให้เหมาะสมกับตาที่รับการผ่าตัดของผู้ป่วยแต่ละรายก็เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้หลังผ่าตัด ผู้ป่วยมองเห็นได้ดีมากน้อยเพียงใด ปัจจุบันการผ่าตัดแบ่งเป็น 2 วีธี คือ การผ่าตัดเพื่อนำเลนส์แก้วตาออกมา…

โรคต้อกระจก ตอนที่ 1

การที่คนเรามองเห็นได้นั้น เกิดจากการทำงานร่วมกันของเลนส์สองชนิดในการรวมแสงให้ไปตกบนจอประสาทตา เลนส์ที่อยู่ด้านหน้า เรียกว่า “กระจกตา” ส่วนเลนส์ที่อยู่ด้านใน เรียกว่า “เลนส์แก้วตา” ค่ะ กระจกตาและเลนส์แก้วตาจะรวมแสงที่เข้ามาในดวงตาเพื่อให้ไปตกบนจอประสาทตาเป็นจุดเดียว หลังจากนั้นแสงจะถูกส่งเป็นสัญญานไฟฟ้าไปที่สมองเพื่อตีความหมายเป็นภาพที่เห็นตรงหน้า นี่คือการทำงานของร่างกายอันอัศจรรย์ของเรา ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องต้อกระจกค่ะ ต้อกระจก เป็นปัญหาทางสายตาที่มีผลต่อประชาคมโลกมานานแล้ว WHO ประเมินว่าทั่วโลก หกพันล้าน มีคนตาบอดประมาณ 35-40 ล้าน ซึ่งเป็นผลงานของต้อกระจกและโรคแทรกของมันถึง 45% โดยเฉพาะในแถบประเทศที่ไม่ร่ำรวยนักซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณที่มีแสงแดดจัด ต้อกระจก คือ ภาวะที่เลนส์แก้วตาซึ่งอยู่ในตาของคนเรา ซึ่งปกติจะมีลักษณะใสเหมือนกระจกจะเริ่มขุ่นมัวขึ้นทำให้ความสามารถในการมองเห็นลดลง อาการที่พบได้ คือ สายตาพร่ามัว ซึ่งมองเห็นไม่ชัดเจน เหมือนมีอะไรมาบังภาพบางส่วนไว้ ซึ่งจะเกิดขึ้นช้า ๆ โดยไม่มีอาการปวดตาร่วมด้วย บางท่านจะมองเห็นภาพซ้อนเหมือนมีวัตถุปกติมากกว่าหนึ่งอัน ทั้งที่มองด้วยตาข้างเดียว ตาไม่สู้แสง นอกจากนี้การแยกความแตกต่างของความมืด-สว่างเมื่ออยู่ในที่แสงจ้า หรือการมองดวงไฟในเวลากลางคืนจะทำได้ลดลง เมื่อเป็นมากขึ้นต้อกระจกจะเริ่มรบกวนการปฏิบัติภารกิจประจำวัน เช่น การขับรถ การอ่านหนังสือที่ยากขึ้น เป็นต้น หากทิ้งไว้นานโดยไม่รักษาอาจเกิดโรคต้อหินเฉียบพลันแทรกซ้อนทำให้ตาบอดในที่สุด อย่าลืมตรวจการมองเห็นของดวงตาทั้งสองข้างของท่านทุกวันนะคะ

อาหารเป็นพิษ

วันนี้มีเรื่องของหลานสาวมาเล่าให้ฟังค่ะ เมื่อตอนที่หลานสาวของดิฉันอายุประมาณ 3 ½ ปี บ่ายวันหนึ่งคุณครูที่โรงเรียนโทรมาหาน้องสาวของดิฉัน บอกว่า ลูกสาวอาเจียนหลายครั้งและร้องไห้ น้องสาวของดิฉันก็ออกจากที่ทำงานไปรับลูกที่โรงเรียน พบว่า เด็กน้อยอาเจียนหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายมีน้ำเขียวๆ ออกมาด้วย ไม่มีไข้ ไม่ท้องเสีย ดิฉันมีโอกาสคุยกับน้องสาว ก็ถามยืนยันว่า หลานสาวร้องไห้หลังจากอาเจียนใช่ไหม  ไม่ใช่อาเจียนหลังจากร้องไห้นะ ที่ถามเช่นนี้เพราะว่า ในเด็กเล็กนั้น ปัญหาการอาเจียน อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ที่พบบ่อยๆ เช่น โรคทางเดินอาหารอักเสบเฉียบพลัน (gastroenteritis) เด็กก็อาจจะมีทั้งอาการอาเจียนและถ่ายเหลว การแพ้อาหาร การติดเชื้อหวัดไวรัสต่างๆ ก็ทำให้อาเจียนได้ ความเครียดวิตกกังวล เช่นเด็กพึ่งเข้าโรงเรียนต้องมีการปรับตัวมาก ก็ทำให้อาเจียนได้ อาหารเป็นพิษ  การกินมากเกินไป หรือแม้แต่การร้องไห้มากๆ ก็ทำให้เด็กอาเจียนได้นะคะ รวมไปถึงโรคที่ต้องรักษาอย่างรีบด่วน เช่น สมองอักเสบและมีความดันในสมองสูง ซึ่งนอกจากอาเจียนแล้ว มักจะมีไข้ อาการอื่นๆ รวมทั้งอาการซึมร่วมด้วย เนื่องจากหลานไม่มีไข้ ไม่ซึม ชีพจรก็ปกติไม่มีลักษณะขาดน้ำ พอหยุดอาเจียนก็ดูร่าเริงดี ดิฉันกับน้องก็เลยใจเย็น และคิดว่า อาจจะเป็นจากอาหารที่กินเข้าไป ดิฉันถามหลานสาวทางโทรศัพท์ว่า ครั้งสุดท้ายที่อาเจียนสีเขียวๆ นั้นมีรสขมหรือเปล่า…

การดูแลดวงตา

กล้ามเนื้อตาล้า คือการปวดหัว ปวดตา ที่เกิดขึ้นเวลาทำงานที่ต้องใช้สายตาใกล้ในงานละเอียด เนื่องจากตาทำงานใช้สายตาใกล้ๆนานๆไม่ได้ เรียกว่าดวงตาเกิดภาวะตึงเครียดขึ้น ซึ่งอาจตามด้วยความยากลำบากในการโฟกัสภาพหรือมองเห็น นอกจากนี้ปัญหาตาแห้ง ปวดศีรษะ การทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์หรือเครื่องฉาย-แสดงข้อมูล จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการกล้ามเนื้อตาล้า และนำไปสู่โรคการมองเห็น อันเนื่องมาจากคอมพิวเตอร์ได้ ท่านควรเข้ารับการตรวจสายตาอย่างน้อยปีละครั้ง หรือมากกว่านั้นหากสายตามีปัญหานะคะ อาการที่บ่งบอกถึงปัญหาทางสายตามีดังนี้ค่ะ มีปัญหาในการใช้สายตาหรือการอ่าน เห็นภาพซ้อน มีอาการปวดศีรษะเมื่อต้องใช้สายตามาก วิงเวียนหน้ามืดง่าย เจ็บปวดบริเวณดวงตา น้ำตาไหลบ่อยๆ หรือตาแห้งค่ะ สำหรับเคล็ดลับเพื่อลดอาการกล้ามเนื้อตาล้าจากการใช้งานคอมพิวเตอร์มีดังนี้ค่ะ จัดโต๊ะทำงานให้ได้ระยะ เพื่อให้ระยะห่างระหว่างตัวท่านผู้ฟังกับหน้าจอที่พอเหมาะคือประมาณ 50-70 ซม. โดยที่ท่านสามารถนั่งในท่าทางที่สบายและถูกสุขลักษณะ สายตาของท่านผู้ฟังควรอยู่ในระดับขอบบนของหน้าจอคอมพิวเตอร์ค่ะ ในกรณีที่ท่านผู้ฟังต้องพิมพ์งานจากเอกสารนะคะ ท่านควรกำหนดระยะห่างระหว่างเอกสารกับดวงตาให้เท่ากันกับระยะห่างจากดวงตากับคอมพิวเตอร์ เพื่อไม่ให้ประสาทตาต้องปรับระยะโฟกัสอยู่บ่อยครั้ง หรือจะหาที่วางเอกสารสูงเท่าหน้าจอมาวางไว้ข้างๆ จอคอมพิวเตอร์ก็ใช้ได้เช่นกันค่ะ ปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะกับสายตาของตัวเอง และดูให้แน่ใจว่าความสว่างของหน้าจอ และความสว่างของสภาพแวดล้อมหลังจอนั้นใกล้เคียงกัน ดวงตาจะได้ไม่ต้องปรับตัวทุก 5 วินาที เช่น ไม่ควรวางหน้าจอไว้ด้านหน้าต่างหรือมุมที่มืดทึบค่ะ ถ้าท่านผู้ฟังใช้แสงสว่างจากโคมไฟส่องไปยังหน้าจอ ควรให้แสงมาจากด้านบนหรือด้านหลังของท่านค่ะ และความสว่างที่เหมาะสมอยู่ที่ระดับ 300-500 Lux  ควรติดแผ่นกรองแสงที่หน้าจอด้วยค่ะ ท่านควรเลือกขนาดและแบบตัวอักษรสำหรับใช้งานที่ทำให้ท่านรู้สึกสบายตา ขนาดที่เล็กเกินไปจะเป็นสาเหตุของความดันโลหิตและความเครียดสูงได้ เติมระดับความชื้นในอากาศ โดยวางแจกันดอกไม้หรือกระถางต้นไม้เล็กๆ ไว้ใกล้ๆ หรือสเปรย์น้ำขึ้นไปในอากาศ…

อุปนิสัยการกิน ตอนที่ 3

วันนี้เราจะมาคุยกันต่อนะคะว่า อุปนิสัยการรับประทานอาหารที่ดีนั้นประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง 1. การรับประทานอาหารเป็นเวลา และถ้าเป็นได้ควรรับประทานอาหารเวลาเดียวกันทุกวัน (CD169 CD 179.5 ปัญญาจารย์ 10:17) และไม่ควรรับประทานอาหารว่างระหว่างมื้อ (CD 180.1) แต่ถ้าหิวระหว่างมื้อให้ดื่มน้ำเปล่าค่ะ อาหารแต่ละมื้อควรห่างกันมื้อละ 5-6 ชั่วโมง (CD 173.4) มีคำแนะนำว่าการรับประทานอาหารวันละ 2 มื้อจะดีกว่า วันละ 3 มื้อค่ะ (CD 173.1) ทั้งนี้เราพบว่า อาหารแต่ละชนิดจะใช้เวลาในการย่อยไม่เท่ากัน ผลไม้ประมาณ 2 ชั่วโมง ผักประมาณ 5 ชั่วโมง ถ้าเป็นเนื้อสัตว์จะใช้เวลานานกว่านั้น นอกจากนี้ อาหารที่มีไขมันสูงยังทำให้กระเพาะย่อยอาหารได้ช้าลงด้วยค่ะ เพราะน้ำมันปริมาณจะไปปกคลุมอาหารในกระเพาะทำให้อาหารมัน เอนไซม์หรือน้ำย่อยที่จะย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่ ผลก็คือ ร่างกายต้องละลายไขมันและเจือจางความเป็นกรดก่อนจึงย่อยได้ค่ะ ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆก็คล้ายกับมือของเราที่มีน้ำมันเกาะอยู่ หยิบจับอะไรก็ลื่น มันไม่หมด ทำงานไม่ถนัด เราต้องละลายความมันด้วยสบู่และน้ำอุ่น ความมันจึงจะหมดไปและเราสามารถหยิบจับของได้ปกติค่ะ ถ้าปริมาณไขมันในอาหารมีไม่มากก็อาจมีผลเล็กน้อยต่อระยะเวลาการย่อย แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว อาหารทางตะวันตกมีไขมันเป็นส่วนประกอบสูงมาก จึงทำให้อาหารต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5-6 ชั่วโมงหรืออาจจะนานกว่านั้นในการผ่านจากกระเพาะอาหารไปสู่ลำไส้ค่ะ การเคี้ยวอาหารให้ละเอียด…

อุปนิสัยการกิน ตอนที่ 2

การมีอุปนิสัยการรับประทานอาหารที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญมากและมีผลต่อสุขภาพของท่านค่ะ เรามาฟังกันต่อนะคะว่า อุปนิสัยการรับประทานอาหารที่ดีนั้นประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง การรับประทานอาหารเป็นเวลา และถ้าเป็นได้ควรรับประทานอาหารเวลาเดียวกันทุกวัน (CD169 CD 179.5 ปัญญาจารย์ 10:17) และไม่ควรรับประทานอาหารว่างระหว่างมื้อค่ะ ถ้าท่านตัดสินใจรับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ โดยไม่มีอาหารว่าง ก็จะช่วยแก้ปัญหาสุขภาพต่อไปนี้ได้ค่ะ คือ ปัญหาอาหารไม่ย่อย นอนไม่หลับ สมองตื้อๆ น้ำหนักเพิ่ม และอาการเจ็บหน้าอกที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า heart burn มีงานวิจัยหนึ่งเกี่ยวกับผลของการรับประทานอาหารระหว่างมื้อที่มีต่อสุขภาพของเรา น่าสนใจเชียวค่ะ นักศึกษามหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งได้รับประทานอาหารเช้าซึ่งประกอบด้วย ซีเรียล ขนมปังปิ้ง ผลไม้ และไข่ 1 ฟอง ภายหลังจากมื้ออาหาร 4 ชั่วโมง ก็ได้ทำการทดสอบและพบว่า กระเพาะอาหารของพวกเขาว่างเปล่า หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ กระเพาะอาหารของพวกเขายังสามารถย่อยมื้อเช้าได้หมดภายใน 4 ชั่วโมง หลังจากนั้น  2-3 วันผ่านไป ผู้วิจัยก็ให้นักศึกษากลุ่มเดิมมารับประทานอาหารเช้าแบบเดิม แต่ครั้งนี้ภายหลังจากอาหารมื้อเช้า 2 ชั่วโมง ก็ให้นักศึกษากินอาหารว่าง บางคนกินแซนวิชเนยถั่วกับนม 1 แก้ว บางคนกินพายฟักทองกับนม 1…

อุปนิสัยการกิน ตอนที่ 1

เมื่อกล่าวถึงเรื่องอาหารการกิน เรามักจะกล่าวเน้นเป็นพิเศษในเรื่องของชนิดและประเภทอาหาร แต่โดยความเป็นจริงแล้ว การที่จะมีสุขภาพที่ดีนั้น นอกจากจะรับประทานอาหารที่ดีแล้ว ระบบการย่อยอาหาร และระบบการขับถ่ายยังต้องดีด้วยค่ะ เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน บางท่านที่รับประทานอาหารที่ดี กินผักสดและผลไม้สด แต่มีปัญหาท้องผูก เช่น ถ่าย 3 วันครั้ง เช่นนี้แล้ว อุจจาระที่ค้างอยู่ในลำไส้ ของเสียที่ควรจะถูกกำจัดทิ้งไปกลับถูกดูดซึมกลับเข้ามา และอาจจะก่อให้เกิดโรคแก่ตัวท่านได้ ในขณะเดียวกัน ท่านอาจจะรับประทานอาหารที่ดีมาก กินผัก ผลไม้และข้าวกล้อง แต่ท่านเป็นคนกินเร็ว ไม่เคี้ยวอาหารให้ดี อาหารดีๆที่ท่านรับประทานเข้าไปนั้น ก็อาจจะไม่เกิดประโยชน์เต็มที่เพราะกระเพาะอาหารของท่านไม่มีฟัน เลยต้องทำงานหนักในการย่อย ซึ่งอาจจะทำให้ย่อยอาหารและดูดซึมได้ไม่หมด ทำให้เกิดปัญหาท้องอืดและปัญหาอื่นๆตามมาได้ค่ะ ซึ่งการที่ร่างกายของเราจะย่อยอาหารได้ดีมากน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับอุปนิสัยการรับประทานของคนคนนั้นค่ะ ในหนังสือ counsel on diet and food หน้า 51 ได้ให้คำเตือนเรื่องอุปนิสัยการรับประทานอาหารของเราไว้อย่างน่าฟังว่า  “มีน้อยคนนักที่เข้าใจว่า อุปนิสัยในการรับประทานอาหารของเขามีผลอย่างมากเพียงไรต่อสุขภาพของเขา ลักษณะอุปนิสัยของเขา การที่เขาจะมีประโยชน์สำหรับโลกนี้ และชะตากรรมชีวิตนิรันดร์ของเขา” ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อเลยนะคะ แต่สิ่งนี้คือความจริงค่ะ เรามาดูกันนะคะว่า อุปนิสัยการรับประทานอาหารที่ดีนั้นควรจะประกอบด้วย การรับประทานอาหารเป็นเวลา และถ้าเป็นได้ควรรับประทานอาหารเวลาเดียวกันทุกวันค่ะ ไม่ควรรับประทานอาหารว่างระหว่างมื้อนะคะ แม้แต่ผลไม้สัก 1…

การบริหารกล้ามเนื้อตา

การบริหารหรือการออกกำลังกล้ามเนื้อตา ไม่จำเป็นต้องทำทุกคนนะคะ การบริหารกล้ามเนื้อตาจำเป็นสำหรับบุคคลต่อไปนี้เท่านั้นค่ะ ได้แก่ 1. ไม่สามารถโฟกัสภาพเมื่ออ่านหนังสือ 2. มองเห็นภาพซ้อน (ในบางกรณี) 3. ตาเข ไม่ว่าจะเขออกนอกหรือเข้าใน 4. หลังรับการผ่าตัดดวงตา แพทย์จะใช้เพื่อช่วยคงการมองเห็นหรือช่วยให้ดวงตาตรง ไม่เขออก 5. มีภาวะตาขี้เกียจ การบริหารกล้ามเนื้อดวงตามีหลายวิธี โดยสรุปมักจะประกอบด้วยการบริหารกล้ามเนื้อเล็กๆที่อยู่รอบดวงตาและทำ หน้าที่กลอกดวงตาไปมาโดยการบริหารจะช่วยให้ฝึกให้การเคลื่อนไหวของดวงตา และการรับภาพที่สมองเป็นไปอย่างสัมพันธ์กัน ตัวอย่างการบริหาร เช่น – ใช้มือปิดตาข้างหนึ่ง และใช้ตาที่เหลือจ้องมองที่วัตถุที่ต่างๆ ใกล้ ไกลเปลี่ยนไปเรื่อยๆ  – เปิดตาสองข้าง มือถือปลายดินสอหรือปากกายืดออกเท่าความยาวช่วงแขน บังคับดวงตาให้จ้องมองที่ปลายปากกาโดยให้เห็นเป็นจุดๆเดียว แล้วค่อยๆเคลื่อนปลายปากกาเข้าใกล้ดวงตาขึ้นอย่างช้าๆ ในขณะเดียวกัน บังคับให้ดวงตาทั้งสองข้างมองตามมาและให้เห็นเป็นจุดเดียว ไม่ให้เกิดเป็นภาพซ้อนจนใกล้ดวงตามากที่สุด ทำเช่นนี้อย่างน้อย 10-20 ครั้งเป็นประจำทุกวัน เป็นการเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อในการมองใกล้ และช่วยให้ดวงตาตรงไม่เขออก ดิฉันอยากขอฝากข้อพระคัมภีร์ใน 1 โครินธ์ 2:9 ดังนี้ค่ะ “สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง  คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์” พระเจ้าทรงมีสิ่งดีอีกมากมายนับไม่ถ้วน จัดเตรียมไว้ให้แก่เรา ท่านผู้ฟังอยากมีส่วนในพระพรนี้ไหมคะ ขอเชิญมารู้จักพระองค์สิคะ…

เข่าเสื่อม ครั้งที่ 4

จริงๆแล้ว ในพืชผักผลไม้ ธัญพืชและสมุนไพรต่างๆ พระเจ้าได้ทรงใส่สารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายของมนุษย์เอาไว้เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพของเรา ถ้าท่านผู้ฟังศึกษาพระคัมภีร์ท่านจะพบว่า ในครั้งแรกสุดที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมานั้น อาหารของมนุษย์คือ ผลไม้ ธัญพืช เมล็ดต่างๆ ถั่วต่างๆ และนัท แต่เมื่อมนุษย์เริ่มทำบาป พระเจ้าก็ทรงอนุญาตให้มนุษย์รับประทานพืชผักต่างๆ จากทุ่งนา ซึ่งก็คือ ผักต่างๆ รวมถึงพวกหัวๆ เช่นเผือกหรือมัน และสมุนไพรต่างๆ นั่นเอง ถ้าเรารับประทานหรือนำมาใช้อย่างถูกต้องด้วยวิธีการที่เหมาสมะ ก็จะช่วยป้องกันการเกิดโรคหรืออาจจะช่วยบำบัดโรคของเราได้ค่ะ ธรรมชาติบำบัดวิธีหนึ่งที่พบว่าช่วยลดอาการปวดอักเสบของเข่าได้ก็คือ การประคบหัวเข่าที่ปวดด้วยกะหล่ำปลีค่ะ วิธีทำก็ง่ายๆ นะคะ ท่านเพียงแค่เด็ดกะหล่ำออกมาเป็นใบๆ  ล้างน้ำให้สะอาด ตัดตรงส่วนกลางที่แข็งทิ้งไป แล้วก็ตำใบกะหล่ำให้แหลกเละพอสมควรจนมีน้ำออกมา แล้วก็นำมาพอกรอบข้อเข่าตอนกลางคืนขณะนอนหลับค่ะ จำนวนใบที่ใช้ก็ขึ้นกับขนาดเข่าของท่านค่ะ  ท่านอาจจะพันทับด้วยกระดาษทิชชู่และ bandage ผ้ายืด หรือพันทับด้วยพลาสติก wrap ก็ได้ ซึ่งมีข้อดีคือ น้ำจะไม่แห้งเร็วจนเกินไป แต่ก็มีบางท่านอาจจะแพ้พลาสติกเกิดอาการคันได้ ท่านพันกะหล่ำปลีทิ้งไว้ทั้งคืนขณะนอนหลับ เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา ท่านก็แกะกะหล่ำปลีที่ประคบอยู่ออกและอาบน้ำแต่งตัวตามปกติ ทำเช่นนี้ทุกคืนประมาณ 5-7 คืน ควบคู่ไปกับการปฏิบัติอื่นๆ ซึ่งรายการของเราได้นำเสนอไปล้ว ก็จะช่วยให้อาการปวดอักเสบลดลงได้ค่ะ อย่าลืมที่จะรับประทานผักโดยเฉพาะผักใบเขียวสดและผลไม้นะคะ ซึ่งจะมีวิตามินและเกลือแร่ช่วยลดอาการอักเสบได้ ควรจะลดเกลือ…