การเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้าให้สู่ความเชื่อต่อหลักความจริงแท้2

1ทธ.2:3-4 การ​กระ‌ทำ​เช่น‍นี้​เป็น​การ​ดี และ​เป็น​ที่​ชอบ‍พระ‍ทัย​ของ​พระ‍เจ้า​พระ‍ผู้‍ช่วย‍ให้‍รอด​ของ​เราพระ‍องค์​ทรง​ประ‌สงค์​ให้​ทุก​คน​ได้​รับ​ความ​รอด​และ​รู้​ความ​จริง 1ทธ.3:15 …​คริสต‌จักร​ของ​พระ‍เจ้า​ผู้​ทรง​พระ‍ชนม์ เป็น​หลัก​และ​เป็น​ราก‍ฐาน​แห่ง​ความ​จริง มก.1:14-15 …ทรง​ประ‌กาศ​ข่าว‍ประ‌เสริฐ​ของ​พระ‍เจ้าโดย​ตรัส​ว่า “เวลา​กำ‌หนด​มา​ถึง​แล้ว​และ​แผ่น‍ดิน​ของ​พระ‍เจ้า​ก็​มา​ใกล้​แล้ว จง​กลับ‍ใจ​ใหม่ และ​เชื่อ​ข่าว‍ประ‌เสริฐ” หนังสือ 1 ทิโมธี 3:15 วรรคหลังกล่าวว่า “คริสต‌จักร​ของ​พระ‍เจ้า​ผู้​ทรง​พระ‍ชนม์ เป็น​หลัก​และ​เป็น​ราก‍ฐาน​แห่ง​ความ​จริง” กรณีนี้ก็บ่งชี้ว่าถ้าปราศจากความจริงก็ปราศจากคริสตจักร  ความจริงจะนำมาซึ่งชีวิต และเมื่อเรามีชีวิตเราก็จะกลายเป็นคริสตจักรทันที ภารกิจเพียงหนึ่งเดียวของคริสตจักรในวันนี้ก็คือการประกาศกิตติคุณ และเนื้อหาของกิตติคุณก็คือความจริง   ความจริงได้บ่งบอกถึงประเด็นที่เป็นศูนย์กลางให้กับเรา นั่นก็คือพระเจ้าตรีเอกานุภาพผู้เป็นพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ประทานพระองค์เองเข้าสู่ภายในชีวิตของมนุษย์ที่เป็นคนบาป เพื่อความบาปของเราจะได้รับการอภัย ได้รับชีวิตของพระเจ้า และมีชีวิตองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ภายในเราทำให้เราเปลี่ยนแปลงเป็นบุตรของพระองค์  นี่ก็คือความจริงและก็คือพระกิตติคุณ  เราจำต้องเรียนรู้พระกิตติคุณเหล่านี้ เปาโลกล่าวว่าการที่ท่านถูกใช้ออกไปนั้นไม่เพียงเพื่อประกาศกิตติคุณเท่านั้น แต่ยังต้องสอนความจริงให้กับผู้อื่นอีกด้วย (1ทธ.2:7; 2ทธ.1:11). นี่ก็หมายความว่าเพียงแต่ประกาศกิตติคุณเท่านั้นไม่เพียงพออย่างแน่นอน   แต่ยังต้องสอนความจริงอีกด้วย. ประเด็นที่สำคัญในพระคัมภีร์ก็คือพระกิตติคุณและความจริงแท้ …เราจำต้องศึกษาพระคัมภีร์อย่างถ่องแท้  จนกระทั่งเราสามารถมองเห็นว่าพระกิตติคุณก็คือความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้า  และความจริงก็คือองค์พระเจ้านั่นเอง  พระกิตติคุณไม่เพียงเป็นข่าวสารอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่คือความรอดแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า  และความจริงก็ไม่ใช่เพียงเป็นหลักธรรมเท่านั้น แต่ความจริงก็คือตัวของพระเจ้าเองเลยทีเดียว เราจำต้องตระหนักว่าสิ่งที่ทั่วโลกต้องการในวันนี้ก็คือพระกิตติคุณและความจริง. พระคัมภีร์ได้บันทึกสำเร็จแล้วตั้งแต่สองพันกว่าปีก่อน และก็ได้มอบไว้ให้กับคริสตจักรแล้วด้วย. แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือเนื่องจากการตกต่ำลงของคริสตจักร ความสว่างของพระกิตติคุณจึงได้หายไป และความสว่างของความจริงก็มืดมนไป …จนกระทั่งมาถึงช่วงของการปฏิรูปศาสนา ประเด็นที่สำคัญแห่งการงานของนักปฏิรูปก็คือต้องปลดปล่อยความจริงในพระคัมภีร์ …แม้ว่าความสว่างในตอนนั้นจะมีเพียงน้อยนิด แต่ว่ายิ่งส่องสว่างแรงกล้าขึ้นทุกที…

การเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้าให้เข้าสู่ความเชื่อที่มีต่อหลักความจริง

ยน.14:6 พระ‍เยซู​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “เรา​เป็น​ทาง​นั้น เป็น​ความ​จริง และ​เป็น​ชีวิต ไม่‍มี​ใคร​มา​ถึง​พระ‍บิดา​ได้​นอก‍จาก​จะ​มา​ทาง​เรา ยน.17:17 บัด‍นี้​พวก‍เขา​รู้​ว่า​ทุก‍สิ่ง​ที่​พระ‍องค์​ประ‌ทาน​แก่​ข้า‍พระ‍องค์​นั้น​มา​จาก​พระ‍องค์ ยน.18:37 …พระ‍เยซู​ตรัส​ตอบ​ว่า “ท่าน​พูด​ว่า​เรา​เป็น​กษัตริย์ เพราะ‍เหตุ‍นี้​เรา​จึง​เกิด​มา​และ​เข้า‍มา​ใน​โลก เพื่อ​เป็น​พยาน​ให้​กับ​สัจจะ ทุก‍คน​ที่​อยู่​ฝ่าย​สัจจะ​ย่อม​ฟัง​เสียง​ของ​เรา” การฟื้นฟูชีวิตให้พ้นจากความบาปขององค์พระผู้เป็นเจ้าตั้งอยู่บนหลักการที่สำคัญสี่ประการ คือหนึ่งหลักความจริง  สองคือชีวิต  สามคือคริสตจักร และสี่คือพระกิตติคุณ …พระคัมภีร์ได้บอกกับเราว่าตัวขององค์พระผู้เป็นเจ้าเองก็คือความจริง และตัวขององค์พระผู้เป็นเจ้าเองก็คือชีวิต. องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสในหนังสือยอห์น 14:6 ว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต”. ความจริงในที่นี้ก็คือหลักความจริงนั่นเอง. พูดอีกนัยหนึ่งก็คือองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่าตัวของพระองค์เองก็คือชีวิตและหลักความจริง. หลักความจริงและชีวิตทั้งสองนี้ล้วนแต่เป็นตัวขององค์พระผู้เป็นเจ้าเอง แต่ว่าต่างก็มีเงื่อนแง่ที่แตกต่างกัน. ซึ่งข้อแตกต่างก็คือหลักความจริงเป็นการอธิบายและการชี้แจงทางภายนอก ส่วนชีวิตเป็นเนื้อหาสาระที่อยู่ภายในและเป็นเรื่องทางภายในของเรา. องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ภายในเราทรงเป็นชีวิตของเรา ซึ่งประสบการณ์เช่นนี้จำต้องมีการชี้แจงเพื่อความเข้าใจ  และการชี้แจงนี้ก็คือการเรียนรู้หลักความจริงนั่นเอง  ถ้าเราต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าตามการชี้แจงนี้ เราก็จะได้รับชีวิต  ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราต้องการมีประสบการณ์แห่งชีวิตของพระเจ้า  เราก็ต้องเรียนรู้จักหลักความจริง  ถ้าพูดในอีกด้านหนึ่งนั้นก็คือองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นชีวิตที่ซ่อนอยู่ในหลักความจริงของพระองค์นั่นอง   ดังนั้น ถ้าเราไม่มีความชัดเจน ไม่เข้าใจ หรือไม่รู้จักหลักความจริง เราก็ไม่อาจมีชีวิตร่วมที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ผู้ทรงเป็นชีวิตของเราได้เลย  ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องทุ่มเทเวลาอย่างเพียงพอในการเรียนรู้หลักความจริงของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ให้เราคงอยู่ในที่มืด วันนี้หลักความจริงของพระองค์ล้วนแต่อยู่ในพระคัมภีร์ที่พระองค์ได้ประทานให้กับเรา. เราจำต้องตระหนักว่าพระคัมภีร์เล่มนี้ก็คือหนังสือแห่งชีวิต. การที่พระคัมภีร์เป็นหนังสือแห่งชีวิตก็เพราะว่าเนื้อหาทั้งหมดล้วนแต่เป็นหลักความจริง …ไม่มีคนใดที่สามารถมีชีวิตในพระองค์ได้โดยไม่รู้จักพระคัมภีร์และไม่รู้หลักความจริงในพระคัมภีร์. วันนี้ถ้าเราต้องการให้ชีวิตในร่างกายของเราได้รับความชื่นชมยินดีในพระองค์…

พระเจ้าผู้ทรงเฝ้าอยู่เหนือชีวิตของเรา

สดุดี 127 :  1. ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงสร้างบ้านบรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า  ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงเฝ้าอยู่เหนือนครคนยามตื่นอยู่ก็เหนื่อยเปล่า  2. เป็นการเหนื่อยเปล่าที่ท่านลุกขึ้นแต่เช้ามืด นอนดึก และกระหืดกระหอบกินอาหารเพราะพระองค์ประทานแก่ผู้ที่รักของพระองค์ ให้หลับสบาย มัทธิว 7 : 24 เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม   เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา  25 ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยวลมก็พัดปะทะเรือนนั้น  แต่เรือนมิได้พังลงเพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1969  ทุก ๆ คนทั่วทั้งโลกต่างก็จับตามอง  และให้ความสนใจต่อการที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ส่งยาน อพอลโล 11  พร้อมนักบินอวกาศ 3 คนไปลงดวงจันทร์  มีการถ่ายทอดเหตุการณ์ครั้งนั้นไปทั่วโลก  ขั้นตอนทุกอย่างถูกตระเตรียมและดำเนินการอย่างเป็นระบบตามแผนที่ดำเนินไว้  เมื่อยานได้ถูกยิงออกไปจากผืนโลกเมื่อไปถึงจุด ๆ หนึ่งแล้วท่อนเชื้อเพลิงท่อนแรกที่ถูกใช้หมดแล้วก็จะถูกสลัดออกไป  และเริ่มใช้กำลังขับเคลื่อนในท่อนเชื้อเพลิงที่ 2 ต่อไป  เมื่อยานลงสู่พื้นผิวดวงจันทร์  นิล  อาร์มสตรอง  นักบินอวกาศคนแรกที่ได้ลงเหยียบพื้นผิวดวงจันทร์  ก็นำเครื่องมือตักดินตัวอย่างเพื่อนำมาตรวจสอบบนผืนโลก   ทุกย่างก้าวของการปฏิบัติการ อพลโล 11  ได้ถูกกำหนดเวลาเอาไว้แล้วอย่างแน่นอนว่าจะทำอะไร  และใช้เวลาเท่าไร  จนกระทั่งยานสามารถนำตัวเองกลับคืนสู่พื้นโลกได้อย่างปลอดภัย  นักบินอวกาศจำเป็นจะต้องทำภารกิจทุกอย่างตามที่กำหนดไว้  ซึ่งทำให้ อพอลโล…

ชีวิตในพระคริสต์ที่สร้างขึ้นใหม่

อฟ.2:15 คือการเป็นปฏิปักษ์กัน โดยในเนื้อหนังของพระองค์  ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วยบทบัญญัติและกฎหมายต่างๆนั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละจึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข อฟ.4:24 และให้ท่านสวมสภาพใหม่ ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้า       ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง สิ่งที่เราต้องการในวันนี้ไม่ใช่ความรู้ที่เป็นหลักธรรม แต่คือประสบการณ์ที่เป็นจริงในชีวิตประจำวัน โดยการยึดพระคริสต์ เป็นแบบอย่างและกลายเป็นชีวิตของเรา. เรามักจะกล่าวถึงเรื่องคริสตจักรคือบุคคลที่บังเกิดเป็นคนใหม่  ซึ่งการที่จะกลายเป็นคนใหม่ได้นั้น เราจำต้องยึดพระคริสต์เป็นชีวิตและตัวตนของเรา ในท่ามกลางผู้เชื่อทั้งหลายนั้นยังมีความเข้าใจในเรื่องนี้น้อยมาก เราไม่ควรพึงพอใจเพียงแค่ว่ามีผู้อื่นถือว่าเราเป็นคนดีเคร่งครัดเท่านั้น. แต่เราจำต้องเป็นคนที่ยึดพระคริสต์เป็นชีวิตและตัวตนของเรา ขอให้เราทุกคนเข้ามายังเบื้องพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และรับการสร้างชีวิตขึ้นใหม่โดยพระองค์และจากพระองค์เกี่ยวกับรายละเอียดทั้งหมดในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา. เราอาจจะไม่ค่อยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ยึดพระคริสต์เป็นชีวิตและตัวตนของเรา.” บ่อยเท่าใดนักในคริสตจักร แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ปรากฏจริงในพระคัมภีร์ เนื่องจากคริสตจักรก็คือผู้ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่และวันนี้ผู้ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่นั้นจำเป็นจะต้องได้รับการสร้างจนมีชีวิตที่เหมือนกับองค์พระเยซูคริสต์ และมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นมีชีวิตของพระองค์อยู่ภายในนั่นเอง. เรารู้ถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร? เรารู้ได้เนื่องจากหนังสือ เอเฟซัส 3:17 กล่าวว่า “เพื่อพระคริสต์จะทรงสถิตในใจของท่านทางความเชื่อ….” เพราะเมื่อพระคริสต์จะทรงสถิตและพักพิงอยู่ในใจของท่านแล้ว นี่ก็หมายความว่าพระองค์ประสงค์ที่จะกลายเป็นชีวิตจริง ๆ อยู่ภายในตัวของท่านด้วย   และท่านก็จะไม่ได้เป็นเจ้าของตัวเองอีกต่อไป  หนังสือเอเฟซัสได้กล่าวไว้ชัดเจนกว่าหนังสือเล่มอื่นๆ ว่าเราต้องยอมให้พระคริสต์กลายเป็นผู้ที่สถิตอยู่ภายในใจของเรา และสิ่งนี้ก็เนื่องมาจากพระองค์ประสงค์ที่จะกลายเป็นชีวิตจริงๆที่อยู่ภายในตัวตนของเรา. แต่อย่างไรก็ตามสิ่งนี้มิได้หมายความว่าเมื่อพระองค์ทรงอยู่ภายในขีวิตของท่านก็กลายเป็นตัวตนของท่านไปโดยแยกออกไปต่างหาก  หรือเมื่อพระองค์ทรงอยู่ภายในข้าพเจ้าก็กลายเป็นตัวตนของข้าพเจ้าโดยแยกไม่เกี่ยวข้องกัน   หรือแม้กระทั่งว่าพระองค์ทรงอยู่ในบุคคลผู้ใดพระองค์ก็จะกลายเป็นตัวตนของคนๆ นั้นโดยเอกเทศ. นี่เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง. ในความเป็นจริงแล้วพระองค์ทรงสถิตอยู่ภายในเราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน. ชีวิตตัวตนที่อยู่ในท่านนั้นก็คือชีวิตตัวตนที่อยู่ในข้าพเจ้าด้วย.  และพวกเราทุกคนต่างก็ล้วนมีชีวิตที่กลายเป็นตัวตนหนึ่งเดียวกัน และชีวิตตัวตนนี้ก็คือชีวิตของพระคริสต์โดยทางความเชื่อนั่นเอง. ในพระกายซึ่งหมายถึงคริสตจักรนั้นเราต่างก็เป็นอวัยวะซึ่งกันและกัน แต่ในชีวิตที่กลายเป็นคนใหม่นั้นเรามีชีวิตของพระคริสต์เหมือนกันและเป็นหนึ่งเดียวกัน  ด้วยเหตุนี้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจนกลายเป็นคน ๆ…

นิมิตการรับใช้ของผู้รับใช้ของพระเจ้า

อสค.1:1…. ขณะเมื่อข้าพเจ้าอยู่ที่ริมแม่น้ำเคบาร์ในหมู่พวกเชลย ท้องฟ้าเบิกออก และข้าพเจ้าได้เห็นพระเจ้าในนิมิต กจ.26:19 ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าพระบาทจึงเชื่อฟังนิมิต ซึ่งมาจากสวรรค์นั้น และมิได้ขัดขืน วว.21:2 ข้าพเจ้าได้เห็นวิสุทธนคร คือนครเยรูซาเล็มใหม่ เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า   นครนี้ได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้วเหมือนอย่างเจ้าสาวแต่งตัวไว้สำหรับสามี ทุกคนที่ปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าจะต้องเป็นผู้ที่มีมีนิมิตที่มีสง่าราศีอย่างใดอย่างหนึ่ง.  นิมิตที่ว่านี้ไม่ใช่หมายถึงว่าการมองเห็นของท่านเท่านั้นแต่คือสง่าราศีของพระเจ้า   สิ่งที่ท่านมองเห็นนั้นคือสง่าราศีที่จะกระทำเพื่อถวายให้แด่พระเจ้า.   ฉะนั้นเมื่อท่านมีนิมิตดังกล่าวสิ่งที่ท่านมองเห็นก็จะกลายเป็นสง่าราศีและนี่ก็คือนิมิตอันมีสง่าราศีที่มาจากพระเจ้า. คำว่า “นิมิต” หมายถึงสิ่งจุดมุ่งหมายที่พิเศษ และวิเศษมากซึ่งไม่ธรรมดา,  ไม่ใช่สิ่งสามัญ. นิมิตยังหมายถึงเหตุการณ์หรือทิวทัศน์. ท่านมองเห็นทิวทัศน์นั้นเนื่องจากมันปรากฏออกมา. ดังนั้นนิมิตจึงเป็นการมองเห็นที่พิเศษอย่างหนึ่ง.   เราต้องรู้ว่าการปรนนิบัติพระเจ้าไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไป.   สิ่งนี้ก็เนื่องจากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงไม่ใช่เป็นสิ่งธรรมดาทั่วไป. ถ้าเราไม่มีความรู้สึกเกี่ยวกับการปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าและการเป็นพยานเพื่อพระองค์แล้วเราก็คือคนที่ไม่เห็นและไม่มีนิมิตนั่นเอง. นิมิตของพระเจ้าคือการเปิดเผยของพระองค์ที่ทำให้พลไพร่ของพระองค์มองเห็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์, ที่อยู่ฝ่ายวิญญาณ, และเป็นฝ่ายสวรรค์. เอเสเคียลมองเห็นนิมิตที่อยู่ฝ่ายวิญญาณและเป็นฝ่ายสวรรค์นี้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเขา ภายใต้ฟ้าสวรรค์ที่เปิดออก (เทียบกับ อฟ.3:3-5; วว.1:10; 4:2; 17:3; 21:10) และเขาได้นำนิมิตเหล่านี้ ไปให้แก่พลไพร่ของพระเจ้าเพื่อจะฟื้นฟูและหนุนใจพวกเขาจากการเป็นเชลยเพื่อการก่อสร้างพระวิหารที่ประทับของพระเจ้า. สิ่งนี้ก็มาจากคำพยากรณ์ของยะเอเศเคียลซึ่งให้แก่พลไพร่ที่อยู่ภายใต้การเป็นเชลยเป็นสำคัญ (อสค.3:10-11) เพื่อว่าสุดท้ายแล้ว พวกเขาจะละทิ้งรูปเคารพโดยหันจิตใจของเขาสู่พระเจ้าและกลับคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอน ของเขาหลังจากผ่านการตกเป็นเชลยไป 70 ปี. พระคัมภีร์ทั้งเล่ม และหนังสือเอเศเคียลเป็นภาพย่อของน้ำพระทัยของพระเจ้า   และพระคัมภีร์ได้เปิดเผยว่า พระประสงค์ที่นิรันดร์ของพระเจ้าคือการที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะให้พลไพร่ของพระองค์ที่พระองค์ทรงเลือกสรรในโลกนี้นั้นเป็นเหมือนกับพระองค์   ทั้งในด้านชีวิต,…

เป็นผู้รับใช้ที่ไม่มีความละอาย

2 ทิโมธี 1 : 8  “อย่าละอายที่จะเป็นพยานฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา หรือฝ่ายตัวข้าพเจ้าที่ถูกจำจองอยู่เพราะเห็นแก่พระองค์  แต่จงมีส่วนในการยากลำบาก เพื่อเห็นแก่ข่าวประเสริฐ โดยอาศัยฤทธิ์เดชแห่งพระเจ้า” อ.เปาโลเขียนจดหมาย 2 ทิโมธี ในเวลาที่คริสเตียนในขณะนั้นอยู่ในช่วงของการข่มเหงอย่างหนัก คริสเตียนดำเนินชีวิตท่ามกลางความยากลำบากอย่างมากเพราะเรื่องของพระเยซูเป็นที่ดูหมิ่นเหยียดหยาม และคริสเตียนเองถูกดูถูกและใส่ร้าย ไม่เป็นที่นิยมชมชอบ เป็นเหตุให้ทีมงาน อ.เปาโลหลายคนได้ละทิ้ง อ.เปาโล  และต่างก็อ่อนแอละทิ้งความเชื่อ (2ทธ.1:15, 2ทธ.4:10, 2ทธ.4:14)  ในสภาพแรงกดดันเช่นนี้ อ.เปาโล ได้เขียนจดหมายหนุนใจทิโมธีไม่ให้มีความละอายใน 3 สิ่ง ดังนี้ ไม่มีความละอายในการเป็นพยานเรื่องของพระเยซูคริสต์ (ข้อ 8) “อย่าละอายที่จะเป็นพยานฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา..” ผู้รับใช้พระเจ้าที่ดีต้องไม่ละอายที่จะเป็นพยานเรื่องของพระเยซูคริสต์ คำว่า “เป็นพยาน” ในที่นี้หมายถึงการกล่าวถึงหลักฐาน การพูดชี้แจงถึงความจริงของพระเยซูคริสต์ การเป็นพยานด้วยชีวิตและประสบการณ์ของคริสเตียนจะเป็นหลักฐานที่สำคัญที่จะยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าพระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์อยู่ (มธ.8:4)  การจะมีความ “ละอาย” ในการเป็นพยานนั้น อาจเกิดได้จาก 2 ประการคือ 1.1  ละอายเรื่องของพระเยซูคริสต์ เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งเพราะเป็นอาการของคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง พระเยซูได้บอกไว้ว่าหากใครละอายพระองค์ พระองค์ก็จะละอายเขาเช่นเดียวกัน (มก.8:38) 1.2  ละอายในการเป็นพยาน…

เราเป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ (2)

2 ทิโมธี 1 : 2 – 7 ถึง ทิโมธีบุตรที่รักของเรา ขอพระคุณและพระเมตตา และสันติสุขจากพระบิดาเจ้า และพระเยซูคริสตเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงดำรงอยู่กับท่านเถิด  3 เมื่อข้าพเจ้าระลึกถึงท่านในการอธิษฐานอยู่เสมอนั้น ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าซึ่งข้าพเจ้าได้รับใช้ด้วยจิตสำนึกอันบริสุทธิ์เช่นบรรพบุรุษของข้าพเจ้า   4 ขณะเมื่อระลึกถึงน้ำตาของท่าน ข้าพเจ้าก็ปรารถนาทั้งวันทั้งคืนที่จะได้พบท่าน ซึ่งจะทำให้ข้าพเจ้ายินดีอย่างยิ่ง  5 ข้าพเจ้าระลึกถึงความเชื่ออย่างจริงใจของท่าน อันเป็นความเชื่อซึ่งเมื่อก่อนได้มีอยู่ในโลอิสยายของท่าน และในยูนีสมารดาของท่าน และบัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีอยู่ในท่าน  6 อันของประทานของพระเจ้าซึ่งมีอยู่ในท่าน โดยที่ข้าพเจ้าได้เอามือวางบนท่านนั้น  ขอเตือนว่าท่านจงกระทำให้รุ่งเรืองขึ้น  7 เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา แต่ได้ทรงประทานจิตที่กอปรด้วยฤทธิ์ ความรัก  และการบังคับตนเองให้แก่เรา ความมั่นใจในการทรงเรียกให้เป็นผู้รับใช้ คริสเตียนจะรับใช้พระเจ้าอย่างเกิดผลสูงสุด จะต้องรับใช้ตามการทรงเรียกของพระเจ้า ซึ่งสิ่งที่ อ.เปาโลกล่าวถึงทิโมธีในตอนนี้ เป็นการย้ำเตือนทิโมธีให้มีความมั่นใจในการทรงเรียกในชีวิต เพราะความมั่นใจจะทำให้ไม่เกิดการสั่นคลอนในการรับใช้ เมื่อเรามีความมั่นใจเราก็จะทำให้การทรงเรียกสำเร็จในชีวิตของเรา และสิ่งที่พระเจ้าทำให้เกิดกับเรา ที่ทำให้เรามั่นใจในการทรงเรียก คือ การสร้างชีวิตฝ่ายวิญญาณ (ข้อ 2-4) อ.เปาโลเรียกทิโมธีว่า ‘บุตรที่รักของเรา’ และเป็นผู้ที่ทำให้ทิโมธีได้มีโอกาสมารับใช้พระเจ้า รับการสร้างและฝึกฝนชีวิตในทางพระเจ้า (กจ.16:1)  ทิโมธี เป็นดังศิษย์คนสนิทที่รับการสอนสร้าง…

เราเป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์

1 ทิโมธี 1: 1 จาก เปาโล อัครทูตของพระเยซูคริสต์ ตามพระบัญชาของพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา  และพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นความหวังของเรา 1 เปโตร 2 : 9 “แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์  เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์   ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์” ความสำคัญของการทรงเรียกเป็นผู้รับใช้ (2ทธ.1:1) พระธรรม 2ทิโมธี เป็นจดหมายฝากที่ อ.เปาโลเขียนไปยังทิโมธี เมื่อเวลาที่ท่านได้รับใช้พระเจ้ามาเป็นเวลานาน เขียนขณะที่ท่านติดคุกที่กรุงโรม ก่อนจะถูกประหารชีวิต เพื่อจะกระตุ้นหนุนใจทิโมธี ลูกแห่งความเชื่อ และผู้รับใช้พระเจ้าทุกคนที่จะได้อ่านจดหมายฉบับนี้ในเรื่องการรับใช้พระเจ้า และการเป็นผู้รับใช้ที่ดีของพระเยซูได้ หนังสือนี้จึงเหมาะกับคริสเตียนทุกคนเพราะทุกคนเป็นปุโรหิต และถูกเรียกให้เป็นผู้รับใช้พระเจ้า ซึ่ง อ.เปาโลตระหนักถึงความสำคัญของการทรงเรียก 4  ประการ ดังนี้ ทรงเรียกให้มีสิทธิอำนาจ “จากเปาโล อัครทูตของพระเยซูคริสต์” อ.เปาโลเรียกตนเองในการขึ้นต้นจดหมายเสมอว่า “อัครทูตของพระเยซูคริสต์” ซึ่งการใช้ตำแหน่งอัครทูตนี้ เป็นการแสดงถึงสิทธิอำนาจของการรับใช้พระเจ้า (1คร.9:1) การเป็นอัครฑูต คือ ผู้ที่ได้รับสิทธิอำนาจจากพระเยซูคริสต์ในประกาศข่าวประเสริฐ สั่งสอนคนทั้งหลายให้ติดตามพระเยซูแทนพระองค์ (กท.1:1) อ.เปาโลตระหนักถึงความสำคัญของการทรงเรียกจากพระเจ้าว่า…

ความรักและความอ่อนสุภาพ

ยอห์น 8 ; 4 – 7 เขาทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า หญิงคนนี้ถูกจับเมื่อกำลังล่วงประเวณีอยู่ ในธรรมบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนเช่นนี้ให้ตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้”  เขาพูดอย่างนี้ เพื่อทดลองพระองค์หวังจะหาเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดิน และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นตรัสตอบเขาว่า   “ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน” ยากอบ  3 : 11 – 13 คำสรรเสริญและคำแช่งด่าก็ออกมาจากปากอันเดียวกัน ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า ไม่ควรให้เป็นเช่นนั้น  บ่อน้ำพุจะมีน้ำจืดและน้ำกร่อยพุ่งออกมาจากช่องเดียวกันได้หรือ  พี่น้องทั้งหลายต้นมะเดื่อจะออกผลเป็นมะกอกเทศได้หรือ หรือเถาองุ่นจะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ  บ่อน้ำพุเค็มก็ทำให้เกิดน้ำจืดอีกไม่ได้เลยในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาดและมีปัญญา ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตนด้วยพฤติกรรมอันดี   มีใจอ่อนสุภาพประกอบด้วยปัญญา ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้านั้นจะเป็นผู้ที่มีจิตใจที่สูงกว่าบุคคลทั่วไปเพราะเขาเหล่านั้นซาบซึ้งต่อความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเขา  ประสบการณ์แห่งความรอดที่พระเยซูได้ทรงประทานให้ในชีวิตของเขานั้น  ทำให้ชีวิตที่เป็นตัวตนของเขาจบสิ้นลงเขาจะไม่ได้มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อตนเองเท่านั้นอีกต่อไป  แต่มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าและปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระองค์  คำ ๆ นี้อาจจะฟังดูเข้าใจยากแต่ในความเป็นจริงแล้ว  การปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระองค์นั้นมิใช่เพื่อประโยชน์ของพระเจ้า  แต่ทุกสิ่งนั้นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของชีวิตของเรานั่นเอง ประสบการณ์แห่งความรอดที่ได้รับจากพระเยซูนั้นจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติ,  ท่าที,  และพฤติกรรมของผู้เชื่อให้ต่างไปจากที่เคยเป็นอย่างสิ้นเชิง  พระเยซูทรงตรัสว่า  “จงรักพระเจ้าสุดจิตสุดใจและสิ้นสุดความคิด  และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”   มัทธิว 22 : 38 – 39   พระองค์ทรงเน้นให้มนุษย์ได้เห็นว่า  …

การสามัคคีธรรมแห่งพระวิญญาณ

1ยน.1:2-3 (และชีวิตนั้นได้ปรากฏ และเราได้เห็น  และเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นั้นแก่ท่านทั้งหลาย ชีวิตนั้นได้ดำรงอยู่กับพระบิดาและได้ปรากฏแก่เราทั้งหลาย)  ซึ่งเราได้เห็นและได้ยินนั้น เราก็ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายรู้ด้วย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเรา     เราทั้งหลายก็ร่วมสามัคคีกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ในหนังสือ 2 โครินธ์ 13:14 การสามัคคีธรรมอันสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนี้ ถูกเรียกว่า “ความสนิทสนมซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ” ในหนังสือกิจการ 2:42 การสามัคคีธรรมนี้ก็คือ “การสามัคคีธรรม ของพวกอัครทูต” และในหนังสือฟิลิปปี 2:1 การสามัคคีธรรมนี้ก็คือ “การมีความรักของพระวิญญาณ.” จากพระคำเหล่านี้ เรามองเห็นได้ว่า การสามัคคีธรรมอันศักดิ์สิทธิ์นี้นั้น เป็นของพระบิดา, พระบุตร, พระวิญญาณบริสุทธิ์, พวกอัครสาวก, และเหล่าผู้เชื่อทุกคน  พวกเขาทุกคนล้วนมีความเกี่ยวข้องอยู่ในการสามัคคีธรรมนี้. การสามัคคีธรรมนี้มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลมากมายดังนั้นการสามัคคีธรรมนี้จึงมีลักษณะร่วมจิตใจซึ่งกันและกัน  เป็นไปไม่ได้ที่คนๆ เดียวจะมีการสามัคคีธรรมนี้ด้วยตัวเอง เพราะแม้ว่าการสามัคคีธรรมนี้จะมีหนึ่งเดียวแต่ก็มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลมากมายร่วมกัน การสามัคคีธรรมคือ การแบ่งปันชีวิตซึ่งกันและกัน  และชีวิตนั้นเป็นชีวิตนิรันดร์ที่มีอยู่ภายในผู้เชื่อทุกคน ซึ่งต่างก็ได้รับเอาและมีชีวิตแห่งองค์พระเยซูคริสต์อยู่ภายใน. … ซึ่งโดยการแบ่งปันและเป็นพยานซึ่งกันและกันของผู้ชอบธรรมเหล่านี้   รวมถึงการสามัคคีธรรมของผู้เชื่อทุกคนด้วยเหตุนี้เองจึงสามารถรักษาความเป็นหนึ่งในพระคริสต์ร่วมกันไว้ได้ หนังสือ 1 ยอห์น 1:2-3 และข้อ 6-7 เปิดเผยว่าการสามัคคีธรรมของชีวิตที่อยู่ในพระเจ้านั้น…