สื่อสารสู่ความหวานชื่นของชีวิตคู่4

โกรธกันได้ไหม ความโกรธปิดกั้นการสื่อสารได้อ่างไร ความโกรธคืออะไร ทำไมคนเราจึงมีอารมณ์โกรธ พระคัมภีร์พูดถึงความโกรธไว้อย่าไร ปฏิกิริยาทั่วไปกับความโกรธ คุณจะตอบสนองความโกรธอย่างไร และเปลี่ยนท่าทีจากความโกรธนั้นได้อย่างไร คู่สมรสต้องการสื่อสารกัน  โดยเฉพาะในเวลาโกรธยิ่งต้องการเป็นพิเศษ   แต่มันมักเป็นชนวนสำคัญที่บ่อนทำลายการสื่อสารในชีวิตสมรส ความโกรธในด้านบวกและลบ ส่วนใหญ่เราอาจมองความโกรธในแง่ลบ  แต่แท้จริงมันก็มีด้านดีซ่อนอยู่เช่นกัน  เช่นเวลามีอะไรมาขัดขวางเป้าหมายที่เรากำลังมุ่งหน้าไป  ความอัดอั้นตันใจจะทำให้เราโกรธ  อารมณ์โกรธกระตุ้นให้เราทำสิ่งซึงปกติแล้วทำไม่ได้  เพื่อความอยู่รอดของเราเอง เหมือนดั่งเช่นสุนัขจนตรอก “จงให้ความยุติธรรมหลั่งลงมาอย่างน้ำ   และให้ความชอบธรรมเป็นอย่างอย่างลำธารที่ไหลอยู่เป็นนิตย์ ”  พระธรรม อาโมส 5.24  ส่วนมากพวกเราหวังเห็นความยุติธรรมและความชอบธรรมในสังคม  แต่เมื่อไม่เป็นไปตามนั้นเราก็โกรธ โมโห  ซึ่งเป็นสิ่งดี  เมื่อคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบหรือผจญกับความทุกข์ยากนั้น  จะกระตุ้นให้เราเข้าไปแก้ไข แต่ความโกรธไม่ได้น่าชื่นชมอย่างนี้เสมอไป  หลายครั้งเราโกรธเพราะห่วงตังเอง เห็นแก่ตัว  อยากตามใจตนเอง  เมื่อคู่สมรสไม่เห็นดีด้วยก็โกรธ “กลับบ้านต่างจังหวัดปีใหม่นี้ผมจองตั๋วรถไฟนะ” “คุณก็รู้ว่ารถไฟที่นั่งปรับเอนนอนไม่ได้  ฉันชอบรถทัวร์” “รถทัวร์น่าเบื่อ  เดินไปดินมาไม่ได้  รำคาญจะตาย” “คุณจะเดินหรือนั่งรถเพื่อให้ถึงบ้านคุณ”   ความขัดแย้งเพิ่มพูนขึ้นเนื่องจากรู้สึกขุ่นเคืองที่ไม่ได้ดั่งใจตน  เป้าหมายอยากได้หรือทำตามใจชอบ  เมื่อไม่สมใจก็โกรธ  ส่งผลให้ความสัมพันธ์กับคู่สมรสตึงเครียดขึ้น พระคัมภีร์พูดถึงความโกรธไว้อย่างไร   อฟ. 4.31 “จงให้ใจขมขื่น  และใจขัดเคืองและใจโกรธ  และการทะเลาะเถียงกัน …

สื่อสารสู่ความหวานชื่นของชีวิตคู่”…..3

ทำไมเราถึงคุยกันไม่ได้ อุปสรรคของการสื่อสารสี่ประการ การสื่อสารที่ต่างกันห้าระดับ ความสัมพันธ์ระหว่างการยอมรับตนเอง การยอมรับคนอื่นและการสื่อสารกับคนอื่น ตามคำสอนของพระคัมภีร์ การสื่อสารกับพระเจ้าเป็นตัวจักรสำคัญของการสื่อสารกับคนอื่น วิธีการปรับปรุงการสื่อสารกับพระเจ้าและคนอื่นให้ดีขึ้น            มีสาเหตุหลายอย่างทำให้คนเราไม่สามารถเข้าใจกัน หรือคนอื่นไม่สามารถเข้าถึงตัวเรา พระคัมภีร์ให้หลักคำสอนเพื่อช่วยเราสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ               “แต่ฉันไม่อยากพูดด้วยแล้ว” คุณเคยพูดหรือได้ยินคู่สมรสคุณพูดอย่างนี้ไหม เวลาหมดความอดทนและไม่รู้จะพูดต่อไปอย่างไรดี มีสาเหตุหลายอย่างทำให้คนเราไม่สามารถเข้าใจกัน  หรือคนอื่นไม่สามารถเข้าถึงตัวเรา  พระคัมภีร์ให้หลักคำสอนเพื่อช่วยเราสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ   เหตุที่ไม่มีการสื่อสารกัน  ทำไมบางคนไม่ยอมพูดจากัน  เขาอาจมีสิ่งกีดขวางหรือจุดอ่อนคือ บางคนขาดความสามารถที่จะพูดจาสื่อสารกับคนอื่น เพราะเขาไม่เคยเรียนรู้การแบ่งปันความคิดเห็นกับคนอื่นอย่างเปิดเผยมาก่อน จึงยากที่จะพูด บางคนกลัวการเปิดเผยความคิดหรือความรู้สึกของเขาเพราะกลัวถูกปฏิเสธ กลัวช้ำใจเมื่อคนอื่นขัดแย้งจึงปกป้องตนด้วยการเฉยเสีย เมื่อคู่สมรสไม่พูดกันจุดบกพร่องไม่ได้ขึ้นกับความสามารถในการสื่อสาร แต่กลายเป็นปฏิเสธจะสื่อสารกันต่างหาก ทำให้การสื่อสารเกิดช่องว่าง  บางคนมีท่าทีว่าการพูดคุยกันไร้ประโยชน์ จะคุยทำไม เมื่อเขาไม่สามารถเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่งได้แล้วก็ เลิกความพยายามเสียเลย4 บางคนตีค่าตนเองต่ำ คิดว่าตนเองไม่มีความสำคัญ ความคิดไม่ดี ขาดความมั่นใจ จึงมักเก็บความรู้สึกและความคิดเห็นไว้ในใจ การจะบอกว่าอุปสรรคการสื่อสารอยู่ที่ไหน  บางครั้งก็ง่ายแต่บางครั้งก็ยาก  เนื่องจากมีเหตุผลที่ซับซ้อน  คู่สมรสจึงต้องทบทวนและพิจารณาให้ดีว่า  อะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริง คุณไม่สื่อสารเพราะเหตุใด ก. ไม่สามารถพูดกับคนอื่นได้ ข. กลัวที่จะเปิดเผยความคิดของตัวเอง ค. รู้สึกไม่มีประโยชน์ ง. ความคิดฉันไม่มีคุณค่า  …

สื่อสารสู่ความหวานชื่นของชีวิตคู่”… 2.

เราจะพิจารณาพระคัมภีร์ต่อไป  สุภาษิต 29:20  “เจ้าเห็นคนปากไวหรือ  ยังมีหวังในคนโง่มากกว่าเขา”  สามีหรือภรรยาที่ชอบพูดโพล่งออกไปโดยไม่ยั้งคิดคำนึงถึงผลจะเกิดขึ้นจะไม่เป็นผลเสียแน่นอน สุภาษิต 25:11  “ถ้อยคำที่พูดเหมาะ ๆ จะเหมือนลูกท้อทองคำล้อมเงิน  มีอีกตอนกล่าว่า  “ที่จะตอบให้เมาะสมก็เป็นความชื่นบานแก่คน  คำเดียวที่ถูกกาละก็ดีจริง ๆ”  ยังจำความรู้สึกที่สบายอกสบายใจตอนที่คุณทั้งสองคุยกันแบบเสริมสร้างกันได้ไหม  ต่างฝ่ายต่างพยายามสรรหาคำไพเราะ เหมาะสมมาสนทนากัน  ผลก็คือทั้งสองได้รับประโยชน์มาก สำหรับการฟังก็มีบอกไว้ว่า “ถ้าคนใดคนหนึ่งตอบก่อนที่เขาได้ยิน  ก็เป็นความโง่และความอับอายของเขา”  ตามพระคัมภีร์ข้อนี้การฟังหมายถึงการใช้เวลาทำความเข้าใจสถานการณ์ หรือเรื่องราวอย่างชัดเจนก่อนที่จะตัดสินหรือสรุปความคำใด ๆ   ยากอบ 1:19  “ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้าจงทราบข้อนี้  จงให้ทุกคนไวในการฟัง  ช้าในการพูด  ช้าในการโกรธ”   พวกเราส่วนมากพร้อมที่จะพูด  แต่ไม่พร้อมจะฟัง  แต่กุญแจดอกสำคัญของคู่สมรสที่ประสบความสำเร็จคือ  การมีใจปรารถนาจะฟังคู่สมรสของตน   ทั้งสองฝ่ายต้องพยายามฟังซึ่งกันและกัน จริงอยู่การฟังต้องใช้ความพยายามมาก  แต่เวลาเดียวกันมันปลดปล่อยเราให้หลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัว  ทำให้รับรู้ความรู้สึก ความต้องการของอีกฝ่าย  หลายครั้งที่การสื่อสารในชีวิตสมรสล้มเหลว  เพราะแต่ละคนเอาแต่หมกมุ่นสนใจความคิดเรื่องของตนเองอย่างเดียว  จนไม่สามารถเข้าใจคู่สมรสได้  หากทั้งสองเริ่มฟังกันและกัน      การอัศจรรย์จะเกิดขึ้นแน่  นั่นคือต่างมีความรู้สึกและความเข้าใจที่ดีต่อกัน ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของการฟังคือ  การเดาเอาเองว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอะไร  ขณะที่คนพูดยังพูดไม่จบประโยค  นั่นไม่ถูกต้อง      หลายครั้งเขาไม่ได้หมายความอย่างที่คุณคิดสักนิดเดียว  ต้องระวังอย่าพูดแทรกหรือขัดจังหวะ  ขอให้อีกฝ่ายพูดจบก่อน เพื่อความเข้าใจ   จงสื่อสารที่ดีต่อกัน…

สื่อสารสู่ความหวานชื่นของชีวิตคู่ 1

ทำไมการสื่อสารจึงเป็นปัญหา การสื่อสารไม่ได้เป็นเรื่องของการพูดอย่างเดียว การฟังเป็นส่วนสำคัญยิ่งของการสื่อสารในชีวิตสมรส พระคัมภีร์ให้คำแนะนำที่มีคุณค่ามากต่อการสื่อสาร สามีภรรยาเกิดความรู้สึกหงุดหงิดใจต่อกันได้อย่างไร (และจะหลีกเลี่ยงได้อย่างไร) วิธีปรับปรุงทักษะในการสื่อสาร การสื่อสารเป็นกระบวนการ           คำจำกัดความซึ่งตรง ง่ายที่สุดคือการสื่อสารเป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนข่าวสารกับอีกคนหนึ่ง  โดยคำพูดหรือวิถีทางอื่นๆที่เข้าใจได้     สิ่งที่พูด  คุย ฟังและการเข้าอกเข้าใจล้วนรวมในกระบวนการสื่อสารทั้งสิ้น ปัญหาใหญ่ของการสื่อสาร คือการไม่เข้าใจกัน  ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อสารชี้ว่า  ถ้อยคำเมื่อสื่อไปถึงผู้ฟังได้นั้นต้องผ่าน 6  ขั้นตอนต่อไปนี้ สิ่งที่ตั้งใจพูด สิ่งที่พูดออกมา สิ่งที่คนอื่นได้ยิน สิ่งที่คนอื่นคิดว่าเขาได้ยิน สิ่งที่คนอื่นพูดเกี่ยวกับสิ่งซึ่งคุณได้พูด สิ่งที่คุณคิดว่าคนอื่นได้พูดเกี่ยวกับสิ่งซึ่งคุณพูด แสดงว่าการสื่อสารนี่ซับซ้อนจริง ๆ  คนโบราณเตือนว่า “ใจคุณคิดอย่างไรก็ให้ปากพูดออกไปอย่างนั้น  และปากคุณพูดออกมาอย่างไร  ก็ให้ใจคุณคิดอย่างนั้นด้วย”  นี่เป็นกฎเกณฑ์อันทรงค่ายิ่ง  แต่ทำได้ยาก คำถามนี้จะช่วยคุณประเมินผลตัวเองในฐานะผู้สื่อสารคนหนึ่ง คุณรู้สึกว่าการสื่อสารกับคู่สมรสของคุณเป็นเรื่องยากหรือไม่ ก. บ่อยครั้ง   ข. บางครั้ง   ค. ไม่เคย คู่สมรสคุณรู้สึกว่ายากที่จะเข้าใจคำพูดคุณหรือไม่ ก. บ่อยครั้ง     ข. บางครั้ง   ค. ไม่เคย คุณคิดว่าคู่สมรสจะพูดอย่างไรเกี่ยวกับความสามรถในการสื่อสารของคุณ ก. ดีมาก         ข. พอใช้        …

วิธีประยุกต์บทบาทคู่สมรสสู่การปฏิบัติจริง(2)

พระคัมภีร์อธิบายว่า  การเป็นภรรยาที่ดีนั้นควรยอมฟังสามี  ไม่เห็นแก่ตัว     ดำเนินชีวิตอย่างบริสุทธิ์และเป็นที่น่านับถือ  หมายถึง เธอจะไม่พูดหรือทำอะไรทำให้สามีอึดอัด  ขายหน้า เสื่อมเสีย  แต่เธอจะห่วงใย  เสริมสร้าง  มีชีวิตที่วางใจได้   เพราะภรรยาที่ดีจะสัตย์ซื่อต่อสามีทั้งต่อหน้าและลับหลัง ส่วนเรื่องการแต่งกายของภรรยา   พระคัมภีร์แนะนำว่า   หญิงงามคือ  หญิงที่มีความงดงามและมีสง่าราศีภายใน   เป็นธรรมดาที่ผู้หญิงทั่วไปอยากจะสวย  อยากทันสมัย และดูดีในสายตาของคนอื่น   แต่ไม่ควรให้มากเกินไป  สาว ๆ บางคนแต่งกายรัดรูป เน้นส่วนสัด  เปิดตรงนั้น เว้าตรงนี้  เย้ายวนไปในทางเพศ  น่าเสียดาย เพราะผู้หญิงเหล่านั้น ไม่เข้าใจถึงคุณค่าของความเป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง นั่นเอง แรดตัวเมียมันหาคู่อย่างไร  ธรรมชาติของแรดเป็นสัตว์ที่มีสายตาสั้น  เมื่อแรดตัวเมียเห็นแรดตัวผู้ที่มันชอบ  มันจะก้าวถอยหลังก่อน  แล้วจึงวิ่งตรงรี่เข้าใส่ด้วยความเร็วประมาณ 50  กม./ชม. โดยมันจะพุ่งเข้าชนที่สีข้างของตัวผู้เพื่อให้ล้มลง  จากนั้นแรดตัวเมียก็จะเริ่มปฏิบัติการโดยเข้าไปทั้งเตะ ถีบจนแรดตัวผู้ ช้ำระบมไปหมด  นี่เป็นวิธีสื่อให้แรดตัวผู้ ได้รู้ว่า เธอรักเขาจริง ๆ สำหรับคุณสุภาพสตรีที่น่ารัก ไม่สมควรจะทำเช่นนั้นกับผู้ชายที่เป็นแฟนของตน  แต่ควรปฏิบัติด้วยความนุ่มนวล สุภาพอ่อนโยนและมีความเมตตากรุณา    เพราะสิ่งเหล่านี้คือ คุณลักษณะที่ดีของสุภาพสตรี  เธอควรพัฒนาความงามภายในที่แสดงออกด้วยความเป็นกุลสตรี  มีความสุภาพอ่อนน้อม  รู้จักคิดอย่างสร้างสรรค์และแสดงออกด้วยเหตุผล …

วิธีประยุกต์บทบาทคู่สมรสสู่การปฏิบัติจริง(1)

เราคงไม่อยากเห็นคู่สมรสใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันโดยมีแต่วิชาการหรือหลักการเท่านั้น แต่เราควรประยุกต์หลักการ มาสู่การปฏิบัติจริง  เพื่อจะทำให้ครอบครัวของเรามีความสงบสุขและมั่งคงยั่งยืนอย่างแท้จริง   พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ได้ให้แนวทางในการทำหน้าที่ของภรรยาและสามีไว้ดังนี้ว่า “ฝ่ายภรรยาจงยอมฟังสามีของตน  เหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า  เพราะว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร  ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์  และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักร  คริสตจักรยอมฟังพระคริสต์ฉันใด  ภรรยาควรยอมฟังสามีทุกประการฉันนั้น  ฝ่ายสามีจงรักภรรยาของตน  เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร      และทรงประทานพระองค์เอง เพื่อคริสตจักร  เพื่อจะได้ทรงทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์”    ( เอเฟซัส 5: 22-33) “ เพื่อพระพระองค์จะได้มีคริสตจักรที่มีสง่าราศี  ไม่มีตำหนิริ้วรอยหรือมลทินใด ๆ เลย       แต่บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ  เช่นนั้นแหละ สามีจึงควรรักภรรยาของตน  เหมือนเหมือนกับรักกายของตนเอง  ผู้ที่รักภรรยาของตนก็รักตนเอง  เพราะว่าไม่มีผู้ใดเกลียดชังเนื้อหนังของตนเอง  มีแต่เลี้ยงดูแลทะนุถนอมเหมือนพระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร  เพราะว่าเราเป็นอวัยวะแห่งพระกายของพระองค์    เพราะเหตุนี้ผู้ชายจึงละบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา  และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน ” เราจะนำความจริงเหล่านี้   มาประยุกต์ใช้ในชีวิตของตน    โดยไม่ต้องห่วงถึงบทบาทของอีกฝ่ายหนึ่ง  แต่ให้มีใจจดจ่ออยู่กับบทบาทในชีวิตสมรสของตนเองว่า  ได้เป็นไปตามที่พระคัมภีร์สอนไว้หรือยัง  เราส่วนมาก มักยกเอาคำสอนของพระคัมภีร์มาบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติ  แต่ไม่ชอบนำมาใช้ปฏิบัติกับตนเอง  เช่น  ภรรยาบางคนอาจจะโต้ตอบว่า   ” ดิฉันยินดีจะเชื่อฟังสามี  ถ้าเขารักดิฉันอย่างที่ดิฉันต้องการ ”  การตั้งเงื่อนไขเช่นนี้ ก็เท่ากับเป็นการบอกว่า…

ใครเป็นผู้นำครอบครัวกันแน่

–   ทำไมทุกวันนี้หลายครอบครัวจึงขาดผู้นำ         –   พระคัมภีร์ระบุถึงบทบาทของภรรยาไว้อย่างไร –   การยอมฟังสามีหมายความว่าอะไร                  –   การรักภรรยาหมายความว่าอะไร สังคมไทยในปัจจุบัน มีความสับสนกับบทบาท และความรับผิดชอบของภรรยาในฐานะแม่   และสามีในฐานะพ่อเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าใครเป็นหัวหน้าครอบครัวกันแน่  หรือจำเป็นต้องมีหัวหน้าครอบครัวด้วยหรือ   สมมุติว่า มนุษย์ต่างดาว เหินเวหาข้ามฟ้ามาจอดยานอวกาศหน้าบ้านคุณ  ก้าวลงจากเครื่อง แล้วกดกริ่ง  ลูกสาวคุณออกไปเปิดประตูให้ มนุษย์ต่างดาวนั้นพูดว่า “พาฉันไปหาหัวหน้าหน่อย”  ลูกคุณจะพาเขาไปหาใคร  ไปหาพ่อ หรือแม่ หรือ ไปหาทั้งคู่  หรือเด็กจะอ้างว่า ตัวหนูนี่แหละ คือหัวหน้า    ทุกวันนี้ใครเป็นหัวหน้าหรือผู้นำในครอบครัว สมัยนี้ ดูเหมือนว่าสามีหรือพ่อมีภาพพจน์ใหม่  คือ รับบทเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว และมอบหน้าที่อื่นๆทั้งหมดให้ภรรยาสั่งการและตัดสินใจ   ส่วนตัวสามีนั้นได้ละเลยความรับผิดชอบของการเป็นผู้นำครอบครัวไป  ผันตัวเองกลายมาเป็นผู้ช่วยภรรยาแทน           อีกสาเหตุหนึ่ง ก็เพราะหลายครอบครัวคิดว่า ต้องอยู่ด้วยกันแบบประชาธิปไตย   ทุกคนรวมทั้งลูกมีสิทธิ์โหวดเสียงเท่า ๆ กัน         การทำอย่างนี้ถูกต้อง หรือสอดคล้องกับพระคัมภีร์หรือไม่   คริสเตียนหลายครอบครัวเกือบบ้านแตกสาแหรกขาดเพราะขาดผู้นำ  เนื่องจากมองข้ามคำสอนที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ จากเรื่องราวข้างต้น หลายครอบครัวขาดผู้นำที่เป็นผู้ชาย  เพราะสามีมักทุ่มตัวให้กับอาชีพการงานมาก จนละเลยหน้าที่สำคัญในการเป็นผู้นำของเขา  ประสบการณ์และข้อสังเกตของคุณ  คุณเห็นด้วยหรือไม่…

การแต่งงาน คือความสัมพันธ์ใหม่

พระคัมภีร์  กล่าวว่า “เพราะเหตุนั้น ผู้ชายจึงจากบิดามารดาของตน ไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน” (ปฐก. 2:24)  คำว่า “จากไป”  หมายถึง  การละจากความสัมพันธ์ซึ่งเคยมีมาแต่เดิมกับพ่อแม่ เป็นการละจากพ่อแม่เพื่อไปสร้างความสัมพันธ์ใหม่หรือตั้งครอบครัวใหม่    แต่น่าเสียดายหลายคนไม่ได้  “ละจากความสัมพันธ์” ที่มีกับพ่อแม่ของเขา    เมื่อแต่งงานไป แม้ร่างกายจะจากพ่อแม่ไปอยู่กับคู่สมรส  แต่จิตใจเขายังยึดติดอยู่กับพ่อแม่  ซึ่งตามจริงแล้วควรยึดติดกับคู่สมรสต่างหาก ที่สมควรเข้ามาแทน การละจากไม่ได้หมายความว่า ให้เขาละเลย  ทอดทิ้ง หรือ ไม่ให้เกียรติพ่อแม่ของตนอีกต่อไป   แต่สามีและภรรยาจำต้องละจากความสัมพันธ์ที่เคยยึดติดอยู่กับพ่อแม่  เป็นการออกจากการครอบครองของพ่อแม่ในครอบครัวเดิม เพื่อมาดูแลและรับผิดชอบต่อคู่สมรสของตน ในครอบครัวใหม่ นั่นเอง ส่วน “การผูกพัน” ของคู่สมรส เป็นการเชื่อมกัน เกาะกัน  ติดกัน  ฉะนั้นเมื่อผู้ชายไปผูกพันอยู่กับภรรยา  เขาทั้งสองก็จะเป็นเนื้อเดียวกัน    คำว่า “เนื้อเดียวกัน”  ตามที่พระคัมภีร์ใช้นี้ เป็นคำที่สวยงาม หมายถึง  การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตลอดไปของชีวิตสมรสตามพระประสงค์ของพระเจ้า    การเป็นเนื้อเดียวกัน หมายถึง การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในลักษณะที่พิเศษ  คือ คู่สมรสต่างทุ่มเท ทั้งตัวและหัวใจทั้งหมด เพื่อร่วมชีวิตอย่างสนิทสนม แนบแน่นในทุกด้าน โดย มีความสัมพันธ์…

ชีวิตสมรสแบบคริสเตียน

ขณะที่ครอบครัวในสังคมไทย  กำลังเปราะบางและมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย  เราจะทำอย่างไรเพื่อจะให้ชีวิตครอบครัว ยั่งยืนและมีความสุข       แต่สิ่งนี้จะเป็นจริงได้  เมื่อทุกคนในครอบครัวมีความรักและสติปัญญาจากพระเจ้า รวมทั้งมีกำลังใจในการใช้ชีวิตร่วมกัน     ดังนั้น ความรัก สติปัญญาและกำลังใจ จึง เป็นสิ่ง จำเป็น และสำคัญมากในการดำเนินชีวิตครอบครัว ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมวิทยาบางคน ได้บอกว่า   ชีวิตการแต่งงานแบบซึ่งเราคุ้นเคยกันมานาน  กำลังจะหายไป    อัตราการหย่าร้างสูงขึ้นทุกปี     แม้แต่คู่ที่ทุกคนบอกว่า   “สมกัน ยังกับ กิ่งทองใบหยก” ก็ยังไม่ยกเว้น คือ ทั้งทองและหยก หลุดหายไปหมด ไม่เหลือเลยแม้แต่กิ่งหรือใบ มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ  3  ประการ  ที่เกิดขึ้นในชีวิตสมรสทุกวันนี้   คือ ความเข้าใจกันระหว่างคู่สมรสน้อยลง ขาดความตั้งใจที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป คาดหวังในชีวิตสมรสสูงเกินความเป็นจริง ประการที่1.  การไม่ค่อยเข้าใจกัน  มักมีสาเหตุเกิดมาจาก  การขาดการสื่อสารที่ดีต่อกัน      สามีภรรยาหลายคู่มีจุดบกพร่องในการติดต่อสื่อสารกัน  ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการครองชีวิตสมรสให้ยืนยาว  การมีความเข้าใจกัน  ไม่ใช่มีความคิดเห็นพ้องต้องกันทุกเรื่อง  แต่หมายถึง ทั้งคู่สามารถพูดคุยปรึกษาหารือกัน ในจุดต่างนั้น      สามารถเข้าใจและยอมรับความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่งได้เป็นอย่างดี  เพราะชีวิตแต่ละคนเติบโตมาจากพื้นเพครอบครัวที่ต่างกัน    และมีประสบการณ์ชีวิตที่ได้รับมาต่างกัน จึงมีความคิดและวิธีปฏิบัติที่แตก ต่างกัน ไม่ได้ปรับตัวเข้าหากัน เรื่องสำคัญหลายเรื่อง  การที่สองคนรักกัน…

เลี้ยงลูกให้ถูกวิธีและมีความรับผิดชอบ

ครอบครัวที่มีลูกๆกำลังเติบโตจากเด็ก กำลังย่างเข้าวัยรุ่น  หนุ่มสาว     ก็ย่อมเป็นที่รัก หวงแหนดังแก้วตาดวงใจ   และมีความหวังอยากจะให้เขาเป็นคนดี   เป็นลูกที่มีความรับผิดชอบ  นำความชื่นชม เกียรติมาสู่ครอบครัว วงศ์ตระกูล   การเลี้ยงดูอบรมลูกจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก   การเลี้ยงลูกๆให้ถูกวิธีนั้น ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำหลักการซึ่งคนส่วนใหญ่นำไปใช้แล้วได้ผลดี  เราจึงนำมาแบ่งปันในที่นี้ หลักการที่ 1  : มอบหมายงานรับผิดชอบที่จริงจังแก่ลูกๆบ้าง และคาดหวังให้ลูกทำ การเรียนรู้อย่างตรงไปตรงมา  จะเปิดโอกาสให้ลูกๆได้ ลงมือทำงานจริงๆ     แล้วพวกเขาจะค่อยๆ สามารถรับภาระ และเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบได้ในภายหลัง      แม้จะมีลูกกี่คนก็ตาม  ไม่ว่าเพียงคนเดียว หรือ 3-4 คน ก็สามารถฝึกฝนให้เขาเติบโตและมีความรับผิดชอบได้   ถ้าตัดสินใจที่จะทำตามวิถีทางที่แนะนำนี้ พูดถึง การทำงาน  มิได้หมายความว่า  จะให้ลูกไปขุดดิน หรือแบกหาม  งานของเด็กวัย 5-8 ขวบ ได้แก่ เก็บข้าวของของตน(วันละ 3-4 ครั้ง)  จัดเตียงนอนของตัวเอง  ช่วยเช็ดโต๊ะ  ช่วยเก็บกวาดสิ่งที่เด็กทำเลอะเทอะ และให้อาหารสัตว์เลี้ยงก็ได้ ส่วนงานของเด็กวัย 9-12 ขวบ   ได้แก่  ให้เขาช่วยล้างจาน  เก็บพับเสื้อผ้าที่ซักแล้ว   ทำความสะอาดห้องนอนของตน…