การทรงสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อท่าน

กิจการ 1 : 4 – 8  “เมื่อพระองค์ได้ทรงพำนักอยู่กับอัครทูต จึงกำชับเขามิให้ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม        แต่ให้คอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา คือพระองค์ตรัสว่า “ตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินจากเรานั่น แหละ   5  เพราะว่ายอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่ไม่ช้าไม่นานท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”  6 เมื่อเขาทั้งหลายได้ประชุมพร้อมกัน เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่ ให้แก่ชนอิสราเอลในครั้งนี้หรือ”  7 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ไม่ใช่ธุระของท่าน ที่จะรู้เวลาและวาระซึ่งพระบิดาได้ทรงกำหนดไว้ โดยสิทธิอำนาจของพระองค์  8 แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก การปลดเปลื้องความบาป   การปลดปล่อยชีวิตจากความมลทิน   การแบ่งปันแก่ผู้ยากไร้และด้อยโอกาสกว่า  ฯลฯ เหล่านี้เป็นพันธกิจฝ่ายวิญญาณ   แม้ว่าการแจกทานที่ปรากฏในพระธรรมกิจการบทที่ 6  “ฝ่ายอัครทูตทั้งสิบสองคนจึงเรียกบรรดาศิษย์ให้ประชุมกัน แล้วกล่าวว่า “ซึ่งเราจะละเลยพระวจนะของพระเจ้า มัวไปแจกอาหารก็หาควรไม่  3 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายจงเลือกเจ็ดคนในพวกท่าน ที่มีชื่อเสียงดีประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และสติปัญญา เราจะตั้งเขาให้ดูแลการงานนี้”   กิจการ  6 : 3 – 4  ก็ยังจำเป็นต้องเลือกสรรผู้ที่ทำการที่ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์…

ชีวิตแห่งการทรงสถิตของพระเจ้า

โรม  7 : 18 ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในตัวของข้าพเจ้าไม่มีความดีประการใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่ซึ่งจะกระทำการดีนั้นข้าพเจ้าหาได้กระทำไม่ ด้วยว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ  แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้กระทำ ฟิลิปปี 2 : 13 เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ให้ท่านมีใจปรารถนา ทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์  กระบวนการทางความคิดของมนุษย์ได้ถูกปลูกฝังให้มีความเชื่อว่า  มนุษย์สามารถกระทำในสิ่งต่างๆ ได้ ถ้าใช้ความพยายามมากเพียงพอ ด้วยความคิดลักษณะนี้จึงทำให้จิตใจของมนุษย์เองเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง  ความเห็นแก่ตัว และการล่วงละเมิด  แม้ว่าบ่อยครั้งที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานแต่ด้วยความไม่ยอมรับความจริงของชีวิต   ทำให้มนุษย์พยายามค้นหาหนทางในการต่อสู้เพื่อให้พ้นจากสิ่งที่กดดันและบีบรัดด้วยตัวเองตลอดมา  เหมือนดังคนที่ตกลงไปในบ่อทรายดูดยิ่งด้นรนเพื่อที่จะให้พ้นจากหล่มทราย  แต่ก็กลับยิ่งทำให้ตนเองจมลึกลงไปทุกที  แม้จะไม่ดิ้นรนหรืออยู่เฉย ๆ ก็ต้องจมลงไปในบ่อทรายลงไปเรื่อยๆ  ความบาปทำให้เกิดผลในทางเลวร้ายต่อตัวของมนุษย์เองอย่างหาที่สุดมิได้  ชีวิตของเราตกต่ำลงไปโดยไม่มีหนทางที่จะก้าวพ้นจากทางแห่งความเลวร้ายนี้ได้ พระเยซูทรงตรัสเป็นครั้งแรกในการประกาศพระกิตติคุณของพระองค์ต่อชาวโลกว่า  “จงกลับใจเสียใหม่”  การกลับใจนี้มิได้หมายเพียงแค่การละเลิกจากการกระทำอันเป็นความผิดความบาป  แต่การกลับใจนั้นยังหมายรวมถึง  การยอมรับว่าตัวเองไม่มีความสามารถและพลังเพียงพอที่จะต่อสู้กับความบาปที่ทำให้ชีวิตของตนเองตกต่ำลงไปได้  “คนเอธิโอเปียเปลี่ยนวรรณะของตนเองได้หรือ หรือเสือดาวเปลี่ยนลายของมัน    ถ้าได้แล้วเจ้าทั้งหลายผู้ที่เคยต่อการกระทำความชั่ว จะมากระทำความดีก็ได้”   เยเรมีย์ บทที่ 13 : 23   มนุษย์นั้นพยายามจะจัดการชีวิตของตนเองและของผู้อื่นอยู่เสมอ  อย่างไรก็ดีการจัดการเหล่านั้นกลับมักจะพบกับการล้มเหลวเสมอ   ดังนั้นในขั้นตอนแรกที่จะทำให้เราสามารถกลับใจใหม่ได้ก็คือ  “ต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถควบคุมและจัดการกับชีวิตของเราได้อย่างแท้จริง”…