โอกาสทองของการเริ่มต้น

เพราะทุกคนมีความต้องการ ดังนั้นจึงไม่มีใครชอบความว่างเปล่า แต่ละคนจึงคิดว่า ความว่างเปล่าคือความยากจน แร้งแค้น ขาดสน ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความหิวกระหาย ความเจ็บป่วย ความทุกข์ ความเศร้า และความตาย ความเต็มล้นตรงกันข้ามกับความว่างเปล่า ใครๆ ก็อยากให้ตนมีทุกสิ่งทุกอย่างเต็มล้น แต่เมื่อชีวิตเต็มล้นไปด้วยของเก่า เราก็ไม่อาจใส่อะไรใหม่เข้าไปได้อีก เมื่อเต็มล้นมากเป็นเวลานานก็ไม่ต่างอะไรกับห้องเก็บของเก่าที่เราไม่อาจเชิญคนที่เรารักเข้าไปนั่งพักผ่อนได้ ดังนั้นถ้าจะให้ห้องที่เต็มไปด้วยของเก่าพร้อมที่จะใช้รับแขกก็ต้องรื้อของที่อยู่เต็มห้องนั้นออกไปทิ้งเท่านั้น ความว่างเปล่าจึงเป็นจุดเริ่มแรกที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการเติมเต็มได้ ถ้าไม่มีความว่างเปล่า เราก็ไม่อาจเริ่มต้นทำอะไรใหม่ได้เลย ห้องที่ว่างสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ง่ายกว่าห้องที่เต็มไปด้วยของ และห้องที่ว่างสามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลายกว่าห้องที่เต็มไปด้วยของ คนที่มีเวลาว่างจึงสามารถเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ ได้ง่ายกว่าคนที่มีงานล้นมือแล้ว จุดเริ่มต้นที่ดีจึงต้องมีความว่างเปล่า ไม่มากก็น้อย เราจึงจะสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิมขึ้นมาได้ เหมือนที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า “ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน แผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงปกอยู่เหนือน้ำนั้น” (ปฐมกาล 1:1-2) พื้นที่ที่ว่างเปล่า ชีวิตที่ว่างเปล่า และเวลาที่ว่างเปล่า คือโอกาสทองของการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิม ทุกคนสามารถมีการงานที่ก้าวหน้า มีฐานะที่ดี และมีชีวิตที่มีความสุขได้ โดยเริ่มต้นจากความว่างเปล่า หรือความไม่มี คนที่รู้จักเริ่มต้นสร้างสิ่งต่างๆ จากความว่างเปล่า จะมีทุกสิ่งที่เขาต้องการได้ เหมือนพระเจ้าที่ทรงเนรมิตสร้างโลกให้อุดมสมบูรณ์ โดยเริ่มจากแผ่นดินที่ว่างเปล่า

รากฐานที่มั่นคง

ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นมาและดำรงอยู่ได้โดยอาศัยบางสิ่งบางอย่างเป็นรากฐาน ถ้ารากหรือฐานไม่มั่นคง สิ่งที่เกิดมานั้นก็ไม่อาจอยู่ได้นานหรือไม่อาจเจริญเติบโตใหญ่ขึ้นกว่าเดิมได้ เมื่อไรที่เติบโตมากกว่าเดิมและมีอะไรมากระทบกระแทกก็ย่อมจะพังทลายลงได้ จะสร้างอะไรให้เจริญเติบโตและอยู่ได้ตลอดไปก็ต้องสร้างฐานที่จะรองรับให้มั่นคงก่อน ถ้าฐานแข็งแรงจะต่อยอดให้สูงใหญ่และหนักเท่าไรก็ได้ ฐานจึงมีความสำคัญมากพอๆ กับสิ่งที่จะสร้างมาตั้งไว้บนฐานนั้น แต่ฐานจำเป็นต้องได้รับการสร้างก่อน ถ้าสร้างฐานได้ดีก็ต่อยอดได้ง่าย พื้นดินเป็นฐานรองรับทุกสิ่งที่อยู่บนโลกนี้ เพราะมีพื้นดินต้นไม้จึงเกิดขึ้นมาได้ เพราะมีพื้นดินบ้านจึงตั้งอยู่ได้ พื้นดินเป็นฐานรองรับทุกอย่าง ดินเป็นอาหารของพืช ดินเป็นที่อยู่ของสัตว์ ดินเป็นวัสดุสร้างอิฐ สร้างบ้าน และภาชนะต่างๆ มากมาย ดินจึงเป็นฐานรองรับสิ่งต่างๆ และเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะให้กำเนิดสิ่งต่างๆ ตามมาได้อีกมากมาย จะสร้างอะไรให้ยิ่งใหญ่จึงต้องคิดสร้างฐานให้มั่นคงก่อน เหมือนที่พระคัมภีร์ไบเบิลเขียนไว้ว่า “ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” (ปฐมกาล 1:1) การค้าขายจะเจริญก้าวหน้าได้ก็ต้องมีการผลิตสินค้าเอง การผลิตสินค้าจะเจริญก้าวหน้าได้ก็ต้องมีวัสดุเอง ถ้าขาดวัสดุ ต้องซื้อวัสดุมา ก็ทำให้ไม่อาจผลิตได้เต็มที่ และถ้าผลิตเองได้ไม่เต็มที่ก็ไม่อาจค้าขายได้เต็มที่ วัสดุจึงเป็นฐานของการผลิต การผลิตเป็นฐานของการค้า และการค้าเป็นฐานของกำไร อยากค้าขายให้ได้กำไรมากก็ต้องทำการค้าให้ครบวงจร ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการจำหน่าย และถ้าอยากทำการค้าให้ครบวงจรได้ก็ต้องสร้างสิ่งที่เป็นพื้นฐานเริ่มแรกให้มั่นคง หรือเริ่มจากสิ่งที่มีพื้นฐานมั่นคงดีแล้วเท่านั้น

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่

เมื่อพูดถึงผลสำเร็จ เราไม่เพียงแต่ต้องการให้ได้รับความสำเร็จธรรมดาเท่านั้น แต่เราต้องการได้รับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ด้วย แต่เพราะเหตุใดความสำเร็จที่แต่ละคนได้รับจึงไม่เท่ากัน ขนาดของความสำเร็จขึ้นอยู่กับขนาดของสิ่งที่เราทำ ทำมากก็ได้รับความสำเร็จมาก ทำน้อยก็ได้รับความสำเร็จน้อย ถ้าอยากได้รับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ก็ต้องทำอะไรให้ยิ่งใหญ่ เหมือนที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า “ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” (ปฐมกาล 1:1) ฟ้าคือท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ฟ้าจึงได้แก่ชั้นบรรยากาศ และอวกาศซึ่งมีดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วน และสวรรค์ที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ ฟ้าจึงกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขตจำกัด นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์ไบเบิลเขียนไว้ว่าพระเจ้าทรงสร้าง เพราะพระเจ้าทรงสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ พระองค์จึงได้รับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ถ้าเราอยากได้รับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เราก็ต้องตั้งเป้าหมายให้ใหญ่ มีเจตนาที่ใหญ่ และสร้างสิ่งต่างๆ ให้ยิ่งใหญ่ เพียงแค่นี้เท่านั้นเราก็จะได้รับผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ไม่อาจเกิดได้ด้วยเป้าหมายที่เล็ก เจตนาที่ต่ำ และการกระทำที่ไม่จริงจัง ความสำเร็จเกิดจากการสร้าง ขนาดของความสำเร็จก็ขึ้นอยู่กับขนาดของการสร้าง ใครตัดสินใจทำอะไรใหญ่ คนนั่นก็ได้รับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ใครตัดสินใจทำอะไรเล็กๆ คนนั้นก็จะได้รับความเสร็จที่เล็ก เมื่อมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ก็ย่อมจะต้องลงมือทำอย่างจริงจัง ไม่มีเวลาที่จะไปทำอย่างอื่นที่ไม่สำคัญ เมื่อทุ่มเทกายใจให้เต็มที่เป็นระยะเวลายาวนานต่อเนื่องหลายปี ก็ย่อมจะได้รับผลมามากมายตามมา ยากที่คนอื่นจะตามทันได้ ชะตาชีวิตของคนก็ขึ้นอยู่กับการกระทำและขนาดของการกระทำเป็นหลักเท่านั้น