กุญแจหลักสู่ความมั่งคั่ง

มั่งคั่งหมายถึงมีมาก ยากจนหมายถึงขาดแคลนหรือมีไม่พอ ดังนั้นความมั่งคั่งและความยากจนจึงเป็นเรื่องของปริมาณ นอกจากนี้แล้วมั่งคั่งยังหมายถึงการมีสิ่งที่มีประโยชน์ต่อชีวิต ยากจนหมายถึงการขาดสิ่งที่มีประโยชน์ต่อชีวิตด้วย ดังนั้นความมั่งคั่งและความยากจนจึงเกี่ยวข้องกับคุณภาพของสิ่งที่มีด้วย ทำอย่างไรเราจึงจะแก้ปัญหาความยากจนได้ ทำอย่างไรทุกคนจึงจะมีสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตได้เพียงพอ คำตอบของคำถามเหล่านี้อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลที่เขียนว่า “พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ทรงเห็นว่าดีนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่หก” (ปฐมกาล 1:31) คำว่าสิ่งทั้งปวงหมายถึงหลายสิ่งหลายอย่าง คำนี้จึงบ่งบอกถึงปริมาณของสิ่งที่สร้างว่ามีมากมาย ส่วนคำว่ามีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่หกหมายความว่ามีการสร้างทั้งวันและสร้างทุกวันเป็นเวลาหกวัน ข้อความนี้ก็บ่งบอกถึงปริมาณของการสร้างว่ามีมาก ดังนั้นสิ่งที่สร้างได้จึงมีมากมาย แทนที่จะเป็นสิ่งหนึ่งก็กลายเป็นสิ่งทั้งปวง คำว่าดีนักหมายถึงดีมาก ดีหมายถึงมีคุณภาพหรือมีประโยชน์ นักหมายถึงมาก ดีนักจึงหมายถึงมีคุณภาพมาก ความยากจนไม่ได้เกิดจากการไม่ทำหรือทำน้อยเท่านั้น แต่เกิดจากการทำไม่ดีด้วย ถ้าทำไม่ดีผลที่ออกมาก็จะไม่มีคุณภาพ สิ่งที่ไม่มีคุณภาพก็ไม่มีประโยชน์ ขายก็ไม่มีใครซื้อ เราจึงต้องทิ้งไป หรือแม้จะมีคนซื้อก็ได้ราคาต่ำ จึงไม่ได้กำไรมากเพียงพอ เมื่อเราไม่ได้สร้างเพื่อเก็บหรือสร้างเพื่อขาย แต่สร้างเพื่อทิ้ง เราจึงยากจน ถ้าทุกคนเน้นการทำงานที่เป็นการสร้าง ไม่ใช่การทำลาย โดยเน้นการสร้างให้มากและสร้างให้ดีเป็นพิเศษ เราก็จะมีสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตมากเพียงพอ และไม่มีใครยากจนเลย นี่คือกุญแจหลักสู่ความมั่งคั่งที่แท้จริง

การขับไล่ความมืด

ความมืดทำให้เรารับรู้อะไรไม่ได้และทำอะไรไม่ถูก ในชีวิตจริงของมนุษย์เรานั้น ไม่ได้มีแค่ความมืดในทางกายภาพที่ทำให้ตาเรามองไม่เห็นเท่านั้น แต่มีความมืดในทางสติปัญญา และความมืดในทางจิตวิญญาณด้วย ความมืดทางสติปัญญาทำให้เราหาทางออกของปัญหาที่ค่อนข้างเป็นนามธรรมไม่ได้ ความมืดทางจิตวิญญาณทำให้เราขาดความหวัง กำลังใจ และความชื่นชมยินดี ความมืดตรงกันข้ามกับความสว่าง ความมืดเกิดจากการไม่มีความสว่าง ที่ใดมีความสว่างที่นั่นย่อมไม่มีความมืด เมื่อความสว่างเกิดขึ้น ความมืดก็จะถูกขับไล่ออกไปโดยปริยาย ดังนั้นที่ใดมีความมืดก็แสดงว่าที่นั่นขาดความสว่าง เพราะความมืดเกิดจากการขาดความสว่าง เราจึงสามารถแก้ปัญหาความมืดได้ด้วยการทำให้เกิดความสว่าง ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า “แผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น พระเจ้าตรัสว่า ‘จงเกิดความสว่าง ความสว่างก็เกิดขึ้น’”(ปฐมกาล 1:2-3) ความมืดอยู่ตรงกันข้ามกับความสว่าง เมื่อเกิดความมืดในทางสติปัญญาที่ทำให้เราหาทางออกไม่ได้ ถ้าเราสามารถหาทิศทางที่ตรงกันข้ามได้ และทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เราก็สามารถแก้ปัญหาได้ ความสว่างทำหน้าที่ขับไล่ความมืด ดังนั้นเมื่อมีความมืดเราไม่จำเป็นต้องไปไล่ความมืด และเราจะไม่สามารถไล่ความมืดออกไปได้ แค่เราสร้างความสว่างหรือหาความสว่างมาตั้งไว้เท่านั้น ความมืดก็ถูกขับไล่ออกไปแล้ว โรคจิตโรคประสาทที่เกิดจากความเครียดในสังคมเมืองนั้นแก้ได้ด้วยการเดินทางไปพักผ่อนอยู่กับธรรมชาติ ความท้อแท้สิ้นหวังเพราะพึ่งตนเองไม่ได้นั้นสามารถแก้ได้ด้วยการเปิดใจแสวงหาพระเจ้าเป็นที่พึ่ง นี่คือหนทางสู่ความสว่างในทางจิตวิญญาณ

การสร้างความสว่าง

ความสว่างทำหน้าที่ขับไล่ความมืด ที่ใดมีความสว่าง ที่นั่นก็ไม่มีความมืด มีความสว่างเกิดขึ้นเมื่อใด ความมืดก็หายไปเมื่อนั้น ไม่มีอะไรจะไล่ความมืดได้นอกจากความสว่างเท่านั้น คนที่พยายามไล่ความมืดออกไปจะต่อสู้กับความมืดไม่ได้เลย แต่คนที่พยายามสร้างความสว่างจะไล่ความมืดได้ในที่สุด ถ้าอยากไล่ความมืดจึงต้องสร้างความสว่าง การสร้างความสว่างจึงเป็นภารกิจเริ่มแรกที่เราต้องเอาใจใส่เมื่อเราคิดจะทำการใหญ่ การคิดเป็นการสร้างข้อมูลในสมองของมนุษย์ ในการสร้างของเรานั้นโดยทั่วไปแล้วข้อมูลที่เป็นนามธรรมต้องได้รับการสร้างให้เสร็จก่อนที่จะมีการลงมือทำให้เป็นรูปธรรม พระคัมภีร์ไบเบิลเขียนไว้ว่า “พระเจ้าตรัสว่า ‘จงเกิดความสว่าง ความสว่างก็เกิดขึ้น’” (ปฐมกาล 1:3) พระเจ้าทรงสร้างความสว่างด้วยการตรัสหรือพูด นี่แสดงให้เห็นว่าการพูดสามารถทำให้สิ่งอื่นเกิดขึ้นได้ การพูดจึงเป็นพลัง เพราะการพูดเป็นพลัง การพูดจึงสามารถสร้างสิ่งต่างๆ ได้ แม้มนุษย์จะไม่สามารถพูดให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมาได้โดยตรงเหมือนที่พระเจ้าตรัสในพระคัมภีร์ข้อนี้ แต่ถ้ามนุษย์พูดถึงสิ่งใดบ่อยๆ สิ่งนั้นก็จะได้รับการสร้างให้เป็นรูปเป็นร่างในชีวิตของเขา ไม่มีใครที่ชอบพูดถึงความทุกข์แล้วตนจะมีความสุข ไม่มีใครที่ชอบพูดถึงความท้อแท้แล้วตนจะมีกำลังใจ และไม่มีใครที่ชอบพูดถึงสิ่งที่เป็นอบายมุขแล้วตนจะหลีกพ้นอบายมุขเหล่านั้นได้ การพูดเป็นการสร้างข้อมูลไว้ในสมอง เป็นการตอกย้ำข้อมูลให้มั่นคง เป็นการสร้างค่านิยม เป็นการเร้าอารมณ์ เป็นการสร้างตัวตนภายใน และเป็นการเลี้ยงความคิดไม่ให้ตาย เราพูดถึงสิ่งใดบ่อยๆ สิ่งนั้นจึงเกิดขึ้นจริงในชีวิตของเรา อยากได้รับสิ่งที่ดี ก็จงพูดถึงสิ่งที่ดี แล้วสิ่งที่ดีจะเกิดขึ้น

การแก้ปัญหาที่ยาก

ความมืดทางสติปัญญา เป็นปัญหาแรกที่เราต้องแก้ เราจึงจะมีความรู้ความชำนาญพร้อมที่จะทำงานที่ใหญ่และยากได้สำเร็จ แต่ทุนที่เป็นวัตถุไม่อาจแก้ปัญหาความมืดทางสติปัญญาได้โดยตรง เหนือกว่ากำลังของร่างกายคือความฉลาดทางสติปัญญา เหนือกว่าความฉลาดทางสติปัญญาคือแรงขับเคลื่อนของจิตวิญญาณ ใจเป็นศูนย์กลางของชีวิตโดยมีจิตวิญญาณเป็นแรงขับเคลื่อน ถ้าจิตวิญญาณเข้มแข็งก็จะมีกำลังใจ และเมื่อมีกำลังใจก็ไม่มีอะไรที่จะทำไม่ได้ เมื่อมีปัญหาที่ยากจนสติปัญญามืดมนหาทางออกไม่ได้ เราต้องแก้ด้วยกำลังฝ่ายจิตวิญญาณ เหมือนที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า “ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน แผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงปกอยู่เหนือน้ำนั้น” (ปฐมกาล 1:1-2) แม้จะมีความมืดอยู่เหนือน้ำแต่พระวิญญาณของพระเจ้าก็ทรงปกอยู่เหนือน้ำนั้นด้วย ความมืดจึงไม่อาจเป็นอุปสรรคขวางกั้นการทรงสร้างของพระเจ้า ในการทำงานของเราก็เช่นเดียวกัน แม้จะมีปัญหาที่ทำให้เราจนปัญญา ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเรามีใจที่จะควบคุมงานนั้นให้ได้ เราก็ย่อมอยู่เหนือปัญหาและสามารถเอาชนะปัญหาได้ในที่สุด ปัญหาที่แก้ด้วยวิธีอื่นไม่ได้ จึงสามารถแก้ได้ด้วยใจที่มีกำลังฝ่ายจิตวิญญาณเป็นแรงผลักดัน ปัญหาที่แก้ด้วยวัตถุไม่ได้ ย่อมแก้ด้วยแรงกายได้ ปัญหาที่แก้ด้วยแรงกายไม่ได้ ย่อมแก้ด้วยความฉลาดทางสติปัญญาได้ และปัญหาที่แก้ด้วยความฉลาดทางสติปัญญาไม่ได้ ย่อมแก้ด้วยใจที่มีกำลังฝ่ายจิตวิญญาณเป็นแรงผลักดันได้ จิตวิญญาณจึงเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตที่ทรงพลังที่สุด จะทำอะไรที่ใหญ่และยากก็ต้องทำด้วยใจหรือทำด้วยกำลังฝ่ายจิตวิญญาณเท่านั้นจึงจะสำเร็จได้

ปัญหาเริ่มแรก

การเริ่มต้นมักจะมีปัญหาที่ใหญ่กว่าการต่อยอดพัฒนาหลังจากที่เริ่มต้นได้แล้ว ดังนั้นเมื่อจะเริ่มต้นทำอะไรใหม่ก็ต้องมีการแก้ปัญหาตั้งแต่นั้น การเริ่มต้นจึงมีอะไรที่น่าท้าทายมากกว่า เมื่อพูดถึงปัญหาการเริ่มต้น คนส่วนมากจะมองว่าทุนเป็นปัญหาใหญ่ ถ้ามีทุนพอจะทำอะไรก็ทำได้ การมองว่าทุนไม่พอเป็นปัญหาหลักของการเริ่มต้น เป็นเหตุให้ต้องกู้เงินมาใช้ แต่ก็มีคนมากมายที่ล้มละลายจากธุรกิจเงินกู้จนเป็นหนี้เป็นสิน นี่แสดงให้เห็นว่า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดตอนเริ่มต้นนั้นไม่ใช่เรื่องมีทุนไม่พอ การทำทุกสิ่งทุกอย่างจำเป็นต้องมีความรู้ความชำนาญ แต่ความรู้ความชำนาญไม่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อเริ่มทำครั้งแรก ความไม่รู้ไม่ชำนาญในการเริ่มต้นทำสิ่งใหญ่ๆ จึงเหมือนกับความมืดที่ปกคลุมอยู่เหนือเส้นทางที่เราต้องเดินไป เหมือนที่พระคัมภีร์ไบเบิลเขียนไว้ว่า “ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน แผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงปกอยู่เหนือน้ำนั้น” (ปฐมกาล 1:1-2) ความมืดทำให้เรามองไม่เห็นอะไร น้ำเป็นปัจจัยสำคัญต่อชีวิต ถ้าน้ำถูกความมืดปกคลุมไว้ เราก็ไม่อาจเอาน้ำมาใช้ประโยชน์ได้ ถ้าเราจะเอาน้ำที่อยู่ใต้ความมืดนั้นมาใช้ เราจำเป็นต้องทำให้ความมืดหายไปก่อน ในชีวิตจริงของมนุษย์เราก็เช่นเดียวกัน มีสิ่งที่มีประโยชน์มากมายอยู่รอบตัวเรา แต่สาเหตุที่เรานำมาใช้ไม่ได้ก็เพราะว่าเรามีความมืดด้านสติปัญญา ทำให้เรามองไม่เห็นช่องทางที่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้น ความมืดเป็นปัญหาแรกของการเริ่มต้นทำอะไรใหม่ทุกอย่าง ความมืดทางกายภาพทำให้เราไม่อาจวิ่งให้เร็ว ความมืดทางสติปัญญาทำให้เราไม่อาจเริ่มต้นทำอะไรใหม่ ความมืดจึงเป็นปัญหาแรกที่เราต้องแก้